ล้มทฤษฎี ‘ดูดวง’?

ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

“ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” คือประโยคอมตะ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ยามเมื่อมีข้อพิพาทกันขึ้น ระหว่าง “ความเชื่อ” และ “เรื่องลี้ลับ” กับ “วิทยาศาสตร์”

หลายครั้ง “วิทยาศาสตร์” ชนะ “ความเชื่อ” ด้วยผลการทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิทยาศาสตร์” ชนะ “เรื่องลี้ลับ” ด้วยชุดข้อมูลที่จับต้องได้

แต่หลายครั้ง มีหลายปรากฏการณ์ที่ “วิทยาศาสตร์” ไม่สามารถตอบคำถาม “ความเชื่อ” ได้ “วิทยาศาสตร์” ไม่สามารถอธิบาย “สิ่งลี้ลับ” ได้

ข้อโต้แย้งกันอีกประการหนึ่ง คือศาสตร์ หรือวิชาที่เกี่ยวข้องกับ “ความเชื่อ” ใน “เรื่องลี้ลับ” นั้น “มีมาก่อน” การปรากฏตัวของ “วิทยาศาสตร์”

อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ “วิทยาศาสตร์” ได้ถือกำเนิดขึ้น ดูเหมือนว่า ตราบจนปัจจุบัน มี “นักวิทยาศาสตร์” นำเสนอ “ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์” มากมาย

ที่สำคัญก็คือ มีผู้เชื่อมั่นและศรัทธา “วิทยาศาสตร์” จำนวนมาก ขณะเดียวกัน ก็มีผู้เชื่อมั่นและศรัทธา “ความเชื่อ” และ “เรื่องลี้ลับ” ไม่น้อยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม มี “ศาสตร์” หนึ่งซึ่งพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นั่นคือ “โหราศาสตร์” ที่ใช้ข้อมูลทาง “สถิติศาสตร์” ในการทำนายอนาคต

“โหราศาสตร์” มีหลายระบบที่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ไทย โหราศาสตร์ภารตะ โหราศาสตร์พม่า โหราศาสตร์สากล

นอกจากนี้ ยังมีโหราศาสตร์พาราณสี โหราศาสตร์สากล โหราศาสตร์จีน โหราศาสตร์ยูเรเนียน ฯลฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างลึกลับ

“โหราศาสตร์” เป็นวิชาที่ต่างกับ “วิทยาศาสตร์” แม้จะมีการใช้ข้อมูลทาง “สถิติศาสตร์” ในการทำนายอนาคต ทว่า มีข้อโต้แย้งจากฝั่ง “วิทยาศาสตร์” เสมอมา

จากปริมาณกองเชียร์แต่ละฝ่าย ทำให้หลายครั้ง ฝั่ง “วิทยาศาสตร์” ยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเปิดศึก อาจด้วยข้อมูลสนับสนุนยังมีไม่เพียงพอให้อุ่นใจ

เป็นต้นว่า ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กลับมาอยู่เสมอ เช่น ทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเล็กเกินไป หรือไม่ก็มีจุดอ่อนในด้านระเบียบวิธีวิจัย

แต่ดูเหมือนว่า รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo จากมหาวิทยาลัย Keimyung เกาหลีใต้ ซึ่งปัจจุบันสอนอยู่ที่ The University of Melbourne

จะหาญกล้าเปิดหน้าท้าทาย “โหราศาสตร์” อย่างเต็มตัว ผ่านข้อมูลจากงานวิจัยที่มีจำนวนกลุ่มตัวอย่างและประชากรขนาดใหญ่ระดับ 10,000 คน

ชื่องานวิจัย The sun’s position at birth is unrelated to subjective well-being : Debunking astrological claims ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Kyklos

 

รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo ยืนยันว่า การโคจรของดวงดาวบนฟากฟ้า ไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรงใดๆ ต่อกิจกรรมของมนุษย์

รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo ใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่จำนวน 12,791 คน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบ General Social Survey (GSS)

เป็นการสำรวจในระดับทวีป ประชากรคือชาวอเมริกาเหนือ (วัยผู้ใหญ่) โดยแบบสอบถามมุ่งสำรวจตัวแปรหลัก 8 ด้านที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดี ได้แก่

1.ความสุของค์รวม 2.ภาวะซึมเศร้า 3.ความทุกข์ทางใจ 4.ความพึงพอใจในงาน 5.ความพึงพอใจด้านการเงิน 6.การท่องเที่ยว 7.สุขภาพ 8.ความสุขในชีวิตสมรส

เป็นงานวิจัยระยะยาว แบ่งช่วงเวลาในการสำรวจทุก 2 ปี ปีละหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2016 ปี ค.ศ.2018 ปี ค.ศ.2021 และปี ค.ศ.2022

กลุ่มตัวอย่างค่อนข้างมีความหลากหลาย อายุเฉลี่ย 50 ปี และเป็นเพศหญิง 55% การเก็บข้อมูลเป็นแบบถาม-ตอบโดยเจ้าหน้าที่เคาะประตูบ้านกลุ่มตัวอย่าง

เมื่อทีมงานได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ได้ส่งให้รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo ใช้วิธีการทางสถิติขั้นสูง เพื่อวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว

โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (ANCOVA : การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยควบคุมอิทธิพลของตัวแปรร่วมให้คงที่)

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) ว่ามีความแตกต่างทางสถิติระหว่างวิธีการของกลุ่มอิสระ 3 กลุ่มขึ้นไปหรือไม่

 

รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo เปิดผลการวิจัยว่า ผลของโหราศาสตร์ที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีทั้ง 8 ด้าน มีค่าเป็น “ศูนย์” ในกลุ่มตัวอย่าง 12,791 คน

“เราสามารถสรุปผลการวิจัยได้ว่า การรับรู้เรื่องราศีของใครบางคน ไม่สามารถให้ข้อมูลที่มีความหมายในการทำนายระดับความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาได้เลย” รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo กล่าว

และว่า “การที่รู้ว่าเรา หรือใครก็ตามอยู่ในราศีใด ไม่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในตัวแปรหลักทั้ง 8 ด้านดังกล่าวเลย”

“การทำนายว่าราศีใดมีเกณฑ์ที่จะพบกับเหตุการณ์อะไร เช่น สูญเงินก้อน สมหวัง หรือผิดหวังกับความรัก หรือจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนั้น”

“งานวิจัยชี้ว่า ไม่มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ทั้งในแต่ละราศี และในแต่ละคน กล่าวคือ เหตุการณ์ในคำทำนายเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะราศีไหน”

“ผลลัพธ์การทำนายในราศีต่างๆ ไม่สามารถแยกความแตกต่างทางสถิติได้ คำทำนายมักเกิดขึ้นแบบสุ่มมากกว่าเฉพาะเจาะจงกับคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง”

 

รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo ชี้ว่า ผลการวิจัยชิ้นนี้ สอดคล้องกับการวิจัยเชิงประจักษ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับลักษณะบุคลิกภาพหรือผลลัพธ์การแต่งงาน

“ผลการวิจัยขัดแย้งกับคำทำนายที่ว่า ราศีเป็นตัวกำหนดแนวโน้มโชคชะตา บุคลิกภาพ และผลลัพธ์ของการแต่งงาน ความสุข หรือความสำเร็จของแต่ละบุคคล”

“จากผลการวิจัยที่ออกมา ทำให้เราต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับการขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนความเชื่อด้านโหราศาสตร์”

รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo ระบุว่า “ความเชื่อ” ดังกล่าว มีผลกระทบต่อทัศนคติ มุมมอง และการใช้เหตุผลในชีวิตประจำวันของผู้คน

“ผมคิดว่า กระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้วย”

“พูดอีกแบบก็คือ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น งานวิจัย มีไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คน ‘งมงาย’ นั่นเอง” รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo กล่าว

และว่า “ที่สำคัญก็คือ ควรพิจารณาถึงอันตรายในการเหมารวมของโหราศาสตร์ เช่น ทุกคนในราศีนี้จะต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งส่งผลเสียต่อการรับรู้ต่อตนเองและผู้อื่นเป็นอย่างมาก”

“นักจิตวิทยา นักการศึกษา หรือผู้กำหนดนโยบาย จะต้องร่วมกันทำงาน เพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแบบเหมารวมทางโหราศาสตร์”

“และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมนุษย์” รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo สรุป

 

กล่าวโดยสรุป งานวิจัย The sun’s position at birth is unrelated to subjective well-being : Debunking astrological claims เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่

“ที่ช่วยยืนยันว่า การโคจรของดาวบนฟากฟ้า ไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรงใดๆ ต่อกิจกรรมของมนุษย์” รองศาสตราจารย์ ดร. Mohsen Joshanloo กล่าว

และว่า “อย่างไรก็ตาม โหราศาสตร์จะยังเป็นที่นิยมต่อไป เพราะชาวอเมริกันร้อยละ 30 ของประชากรสหรัฐ ต่างระบุว่า ตนเองมีความเชื่อเรื่องอิทธิพลทางดาราศาสตร์”

ในทางกลับกัน แม้จะมีผู้เชื่อมั่นและศรัทธา “วิทยาศาสตร์” อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีผู้ที่เชื่อมั่นและศรัทธา “ความเชื่อ” และ “เรื่องลี้ลับ” ไม่น้อยเช่นกัน

“โหราศาสตร์” เป็นวิชาที่ต่างกับ “วิทยาศาสตร์” แม้จะมีการใช้ข้อมูลทาง “สถิติศาสตร์” ในการทำนายอนาคต ทว่า มีข้อโต้แย้งจากฝั่ง “วิทยาศาสตร์” เสมอมา

หลายครั้ง “วิทยาศาสตร์” ชนะ “ความเชื่อ” ด้วยผลการทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิทยาศาสตร์” ชนะ “เรื่องลี้ลับ” ด้วยชุดข้อมูลที่จับต้องได้

แต่หลายครั้งมีหลายปรากฏการณ์ที่ “วิทยาศาสตร์” ไม่สามารถตอบคำถาม “ความเชื่อ” ได้ “วิทยาศาสตร์” ไม่สามารถอธิบาย “สิ่งลี้ลับ” ได้

“ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” จึงยังคงเป็นประโยคอมตะ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ยามเมื่อมีข้อพิพาทกันขึ้น ระหว่าง “ความเชื่อ” และ “เรื่องลี้ลับ” กับ “วิทยาศาสตร์” นั่นเอง