สุกงอม พร้อมใจ แห่ง ‘ราชกิจจานุเบกษา’ เสียง ‘ในหลวง’

บทความพิเศษ

 

สุกงอม พร้อมใจ

แห่ง ‘ราชกิจจานุเบกษา’

เสียง ‘ในหลวง’

 

จุดเริ่มต้นของ “ราชกิจจานุเบกษา” หากมองในแง่ของสื่อ “หนังสือพิมพ์” อาจมาจากการเกิดขึ้นของ “บางกอกรีคอร์เดอร์”

นั่นก็คือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2387

กระนั้น หากมองถึงเป้าหมายและความต้องการให้เป็นภาระธุระโดยตรงของ “ราชกิจจานุเบกษา” ก็ควรจะเริ่มจากโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้รับพิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นในปี พ.ศ.2382 เป็นจำนวน 9,000 ฉบับ

นี่ย่อมเป็นประกาศอันเรียกขานกันโดยตรงว่ามาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

การทำความเข้าใจต่อ “ราชกิจจานุเบกษา” จึงต้องเริ่มจาก “ภาระธุระ” นี้

ขณะเดียวกัน การจะเข้าใจต่อรากฐานและความเป็นมาแห่งเป้าหมายและความต้องการของ “ราชกิจจานุเบกษา” ก็ต้องทำความเข้าใจในผลสะเทือนของตัวพิมพ์ แท่นพิมพ์ และโรงพิมพ์

หากอ่านจาก “หมอบรัดเลย์กับการหนังสือพิมพ์แห่งกรุงสยาม” ประสานเข้ากับ “สยามพิมพการ”

ก็จะยิ่งเข้าใจได้อย่างถึงแก่น

 

แท่นพิมพ์ หนังสือ

ตื่นเต้น มหัศจรรย์

เมื่อหมอบรัดเลย์เดินทางมาถึงกรุงสยามในปี พ.ศ.2377 นั้นไม่นานก็เริ่มรู้จักกับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน อาทิ เจ้าฟ้าน้อยซึ่งยังได้ชักนำหมอบรัดเลย์ให้เข้าเฝ้าพระชนนีพระองค์

คือ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2378 อีกด้วย

วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2379 เป็นวันพิเศษของหมอที่จะได้ผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญ กล่าวคือ ในวันนี้หมอบรัดเลย์ผู้มีกิตติศัพท์โด่งดังในด้านรักษาไข้ได้รับคำสั่งจาก “เจ้าฟ้าใหญ่” หรือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ให้เข้าเฝ้าที่วัดราชาธิวาส ในเวลานั้นยังเรียกว่าวัดสมอราย

ครั้นไปถึงทรงให้การต้อนรับหมอเป็นอย่างดี หลังจากนั้นยังมีรับสั่งให้เข้าเฝ้ารักษาโรคอีกหลายครั้ง

“เจ้าฟ้าน้อย” ยังเคยเสด็จมาเยี่ยมหมอบรัดเลย์ถึงบ้าน

หลังจากที่หมอบรัดเลย์เริ่มแจกหนังสือที่พิมพ์เป็นภาษาไทยปรากฏว่ามีคนไทยสนใจงานพิมพ์หนังสือเป็นจำนวนไม่น้อย

เจ้าพระยาพระคลังเคยให้คนมายืมเครื่องพิมพ์ของพวกมิชชันนารีคณะเอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม.เพื่อเอาไปพิมพ์หนังสืออ่านเล่นที่บ้านท่านถึง 3 ครั้ง แต่ยืมไปไม่ได้เพราะแท่นพิมพ์หนักนักยากแก่การขนย้าย

ความสนใจในหนังสือของคนไทยปรากฏชัดในวันถวายพระเพลิงสมเด็จพระราชินี พระชนนีเจ้าฟ้ามงกุฎ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2380 ประชาชนมาชุมนุมกันมาก พวกมิชชันนารีจึงเอาหนังสือไปแจก

คนเบียดมารับแจกกันหนาแน่นจนต้องลงไปแจกในเรือก็แออัดยัดเยียดกันอีก จึงถอยเรือออกจากฝั่งไปเล็กน้อยทำให้ผู้รับต้องลุยไปในน้ำลึก

หรือบางคนต้องว่ายน้ำจึงจะได้รับหนังสือ

 

ตระเตรียม ความคิด

รับมือ กับ “โรงพิมพ์”

เจ้าพระยาพระคลังสนใจการพิมพ์มากเมื่อยืมแท่นพิมพ์ไม่ได้ก็ยืม “แท่นพิมพ์ไม้” บอกว่าจะไปแก้อักษรไทยด้วยไม้เองเพราะท่านมีข้าทาสบริวารมาก

แต่ไม่สำเร็จต้องส่งคืนให้คณะเอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม.

ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2381 เจ้าพระยาพระคลังนำคนใช้มาเป็นจำนวนมากมาขอยืมแท่นพิมพ์จะเอาไปใช้ที่บ้านอีกก็พบว่าการโยกย้ายลำบากมาก

ครั้นต่อมา หมอบรัดเลย์ตระหนักว่าคนไทยสนใจการพิมพ์มากจึงได้มอบตัวพิมพ์ภาษาไทยให้โรงพิมพ์ของเจ้าฟ้ามงกุฎที่วัดบวรนิเวศ 1 ชุดในปี พ.ศ.2385

เจ้าฟ้ามงกุฎทรงเป็นเจ้านายที่สนพระทัยการพิมพ์ถึงกับตั้งโรงพิมพ์ที่วัดบวรนิเวศ พิมพ์หนังสือพุทธศาสนาแข่งกับพวกมิชชันนารีตัวพิมพ์เป็นอักษรอริยกะซึ่งแกะกันเองผู้พิมพ์คือพระในวัด

โรงพิมพ์นี้ตั้งขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏชัดแต่เมื่อปลายปี พ.ศ.2392 ทรงติดต่อสั่งซื้อเครื่องพิมพ์หิน (Lithographic press) จากอเมริกา 1 เครื่อง เห็นจะเป็นเพราะได้ตัวอักษรไทยมาจากหมอบรัดเลย์

จากนี้จึงเห็นว่าในทาง “ความคิด” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฟ้าใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฟ้าน้อย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ไม่ว่าในหมู่เจ้านาย ล้วนมีความต้องการ

ในทาง “วัตถุ” หรือในทาง “เทคโนโลยี” ก็มีความร้อม

ในเบื้องต้นอาจเป็นความพร้อมทางด้านของฝรั่งมังค่าซึ่งเป็น “มิชชันนารี” แต่ด้วยเวลาอันรวดเร็วก็เริ่มมีการถ่ายโอน

ยิ่งกว่านั้น ยังมีความสุกงอม มีความต้องการอย่างแรงกล้าเป็นลำดับ

 

กำเนิด อักษรพิมพการ

กับ ราชกิจจานุเบกษา

หากอ่านจาก “อุบัติการณ์หนังสือพิมพ์” ที่เขียนจากความทรงจำของ ลาวัณย์ โชตามระ ซึ่งอยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

ก็จะเข้าใจใน “ความจำเป็น” และ “ความต้องการ”

โดยเหตุที่หมอบรัดเลย์เป็นหมอสอนศาสนา เรื่องราวในหนังสือบางครั้งก็เป็นการโฆษณาและเผยแพร่เกียรติคุณ และหนักมือถึงขนาดเขียนบทความและแนะนำให้พระมหากษัตริย์ไทยเปลี่ยนศาสนาไปด้วย

บางครั้งข้อความก็ชักจะรุนแรงเกินขนาด แถมมีการใส่ไคล้นำเรื่องจริงมาปนกับเรื่องเท็จให้เป็นการยั่วยวนกวนประสาทบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับข่าว

สมัยนั้นอย่างจะเหลือมือหรือเหลือรับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงออก “แถลงการณ์” แก้ข่าวหรือระงับข่าว วิธีออกข่าวหรือแก้ข่าวครั้งกระนั้นในชั้นแรกประกาศแก้ข่าว

ต่อมา เมื่อมีการสร้างโรงพิมพ์หลวงในชื่อ “โรงอักษรพิมพการ” (ตรงพระที่นั่งภานุมาศจำรูญในปัจจุบัน) เวลาจะออกประกาศก็ใช้พิมพ์จากโรงพิมพ์หลวงอันมี กรมหมื่นอักษรโสภณ ทรงเป็นเสมือนผู้พิมพ์ผู้โฆษณา

และจากโรงพิมพ์หลวงนี้เองหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยซึ่งมี นายทุน บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.2401

ในชื่อ “ราชกิจจานุเบกษา”

 

จากประกาศ แถลงการณ์

ภาระหน้าที่ หนังสือพิมพ์

ข้อความที่หน้าปกของหนังสือ “ราชกิจจานุเบกษา” ฉบับที่ 1 ได้แจ้งรายละเอียดโดยรวบรัดว่า

“ราชกิจจานุเบกษา

คือ หนังสือหมายประกาศการเล็กน้อยต่างๆ แต่ผู้ปกครองแผ่นดินสยามมาในวันจันทร์ เดือนห้า ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีมะเมีย ยังเป็นนพศก เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบันนี้

ให้ข้าราชการทุกตำแหน่งในกรุง นอกกรุงแลราษฎรทั้งปวงทราบทั่วกัน

และทำตาม ประพฤติตาม และรู้ความโดยสมควร เพื่อจะมิให้ทำและประพฤติผิดพระราชดำริ

พระราชประสงค์แลเล่าฤๅถือการแลเข้าใจความผิดๆ ไป”

การพิมพ์หนังสือเมื่อร้อยกว่าปีก่อนไม่ใช่ของง่าย ดัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรยายการนี้ไว้ในพระราชหัตถเลขาถึงคณะทูตไทยที่ไปลอนดอนว่า

“การต้นคือทำสิ่วเหล็ก ตีลงให้เป็นตัวทองแดงแล้วหล่อในโมล์เป็นตัวดีบุก

แล้วเอามาเรียงเป็นบรรทัดปรับลง ตั้งที่แล้วถ้าจะเอาพิมพ์ไว้นานฤๅจะดีให้มากกลัวลูกพิมพ์จะยับจึงต้องเอาลูกดินขาวเรียกว่าเคลมาตำเป็นผงโรยลงให้หนาทับลงให้มาก แลเอาเชื้อพรมปะรดให้ติดกัน

แล้วจึงถึงบทที่จะตีในกระดาษ”

 

ราชกิจจานุเบกษา

เสียงของ “ในหลวง”

ในความเห็นของ ลาวัณย์ โชตามระ หนังสือพิมพ์ “ราชกิจจานุเบกษา” ที่ในหลวงทรงเป็นเสมือน “บรรณาธิการ” และมี กรมหมื่นอักษรโสภณ เป็น “ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา” นั้น

เป็น “เสียงในหลวง” โดยแท้

และเป็นเสียงแห่งพระมหากรุณาธิคุณนานัปการ

ยิ่งเมื่อสำนักพิมพ์ “ต้นฉบับ” นำเอาหนังสือ “ราชกิจจานุเบกษา” ตั้งแต่ฉบับแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2401 มาตีพิมพ์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน

เสียง “ในหลวง” ยิ่งกังวาน กึกก้อง