ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
กาลเวลาแห่งขุนศึก | คารม ธรรมชยาธร
ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024
ลักษณะท่าทางและเครื่องแต่งกายบ่งบอกชัดว่าเขาเตรียมออกศึก บุรุษวัยสามสิบรูปร่างทะมัดทะแมงคล้ายแข็งแกร่งปานขุนพล เขาเดินออกจากห้องพักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ยินดียินร้ายต่อทุกสถานการณ์รอบข้าง เบื้องหน้าเขามีเจ้าหน้าที่ของเวทีเดินนำ เบื้องหลังเขามีชายสูงวัยหน้าตาคล้ายเขาเดินตามมาติดๆ
ระหว่างเขาเดินออกมา สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คน หลายคนตะโกนเรียกชื่อเขา หลายคนโบกมือให้ หลายคนยื่นมือมาให้สัมผัส เขาตอบแทนด้วยการยื่นยิ้มกลับไปบ้าง ยื่นมือไปแตะมือที่ยื่นมาบ้าง รอยยิ้มเขาดูแกนๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มใจ ทำให้คล้ายราวกับว่าเป็นการกระทำตามมารยาทเท่านั้น
นี่หรือขุนศึกผู้กำลังเดินสู่สมรภูมิรบ ช่างไม่กระตือรือร้น ไม่มีความฮึกเหิม หรือเขาไม่มีหัวใจใฝ่หาชัยชนะ
ไม่มีใครรู้ความจริงเท่าเขา นอกจากชายสูงวัยที่เดินตามหลังเขามา-พ่อบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง มีเพียงพ่อของเขาที่พอจะเข้าใจในท่าทีเขาบ้าง แต่พ่อไม่เข้าใจในความรู้สึกทุกอย่างของเขา เขารู้ว่าเบื้องหน้าคือมหาสงครามใหญ่ เบื้องหน้าคือไฟนรกที่พร้อมจะเผาผลาญ คู่ชกของเขาเป็นรัสเชี่ยนหนุ่มมีชื่อเสียงก้องโลก ผิดกับเขาผู้ซึ่งเป็นเพียงปลาร้าปลาเจ่าในขณะนี้ เขารูปร่างเล็กกว่า เขาแก่กว่า สภาพร่างกายเขาย่ำแย่กว่า และที่สำคัญคือเขาไม่มีไฟฝันใดแล้วบนสังเวียน หัวใจนักสู้ลู่ราบอยู่ในแนวสงบ เขาถามตัวเองหลายหนว่าทำไมต้องกลับมาชกมวยอีก เขาเลิกมวยไปห้าปีแล้ว เขาเบื่อหน่ายเสียงปี่กลอง เขาเบื่อกลิ่นสาบนวม เขาเหม็นกลิ่นน้ำมันมวยที่เคยชโลมเรือนร่าง เขามีรายได้พอเลี้ยงชีพและครอบครัวแล้ว แต่ผู้ชายที่เดินตามหลังเขามานี่สิ เป็นผู้ตัดสินใจแกมบังคับให้เขากลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง แม้เหตุผลที่พ่อบอกว่าครอบครัวเขายังไม่มั่นคงพอ เขามีภรรยาที่มีเงินเดือนจากการทำงานบริษัท เขามีลูกกำลังเรียนชั้นประถมศึกษา พ่อบอกว่าต้องใช้เงินอีกมาก เขาชี้แจงเรื่องนี้ให้พ่อฟังอย่างละเอียดว่าไม่มีปัญหา แต่พ่อกลับทำหูอื้อตาฟาง พ่ออ้างโน่นนี่สารพัด
ข้อสรุปสุดท้ายคือบุญคุณที่พ่อเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็ก เขาจะตอบแทนพ่อด้วยความกตัญญูสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ
เขาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก พ่อนี่เองที่ลากจูงเขาเข้าสู่สงครามใหม่อีกหน มันเป็นการดวลกำปั้นที่ต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดแน่นอน เขาอาจจะเจ็บน้อย-ถ้าชนะ เขาอาจจะเจ็บมาก-ถ้าแพ้ ไม่มีสงครามใดปราศจากบาดแผล
ไม่มีสงครามใดที่จบลงด้วยรอยยิ้มของทั้งสองฝ่าย
“มัวใจลอยไปถึงไหน คนดูตะโกนเรียกทั้งสนาม มึงยังทำเฉยชาอีก” พ่อบอกเขาด้วยน้ำเสียงเข้ม เขาจึงเริ่มรู้สึกตัว เขามัวแต่ครุ่นคิดเรื่องราวที่ผ่านมา เขามิได้ใส่ใจใดต่อสิ่งรอบข้าง ปฏิกิริยาแห่งการยื่นมือแตะและยื่นยิ้มเป็นไปโดยอัตโนมัติแห่งสัญชาตญาณ
ชายคนเดินนำหน้าพาเขามาที่จุดตรวจความพร้อม ตรงนี้มีเจ้าหน้าของสนามสองคนคอยตรวจดูความเรียบร้อย ทั้งสองเป็นชาวต่างชาติ เขาไม่คุ้นเคยกับสภาพนี้ นี่เป็นสิ่งที่นักมวยรุ่นใหม่ต้องเจอ เขาเหมือนขุนศึกเล็บกร่อนซ่อนตัวในกะลา เพราะตั้งแต่เลิกมวยมา เขามิเคยได้ชายตาดูมวยถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เขามิเคยย่างกรายเข้าไปในเวทีมวยแม้สักครั้ง มันมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างช่วงของกาลเวลามากมาย เขาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบร่างกายอย่างไม่อินังขังขอบใด จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าการคืนสังเวียนหนนี้ เขาไม่มีความพร้อมพอจะต่อกรกับใคร เชื่อว่าลึกๆ แล้วพ่อของเขาต้องรู้ แต่พ่อยังดึงดันให้เขาคืนสู่ผืนผ้าใบจนได้
เขารู้ พ่อไม่ได้เห็นแก่ตัว พ่อมิได้มีอคติใดๆ กับเขา พ่อคิดว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องที่จะทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ความคิดพ่อเป็นแบบเผด็จการ พ่อทำเป็นหูทวนลมกับเหตุผลที่เขานำมาแก้ต่าง พ่อเป็นทหารเก่ายึดมั่นต่อผู้บังคับบัญชา พ่อเคยบอกว่าคำสั่งของหัวหน้าคือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้ใต้บังคับบัญชามิอาจละเลยได้ พ่อต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันเหล่านี้ยาวนาน ผลพวงจึงตกลงมาถึงเขา พ่อ “บังคับ” ให้เขาขึ้นเวทีด้วยเหตุผลดังกล่าว
พ่องมงายกับวัตรปฏิบัติทางทหาร เจ้านาย-คล้ายพระเจ้าองค์หนึ่ง ประกาศิตใดที่เปล่งออกมาจากปากเจ้านาย พ่อมิเคยขัดขืน ทั้งที่ครั้งหนึ่งมันเกือบนำพาความหายนะมาสู่ชีวิต แต่โชคดีที่รอดพ้นบ่วงความผิดพลาดมาได้ พ่อเพิ่งเกษียณจากชีวิตราชการ มีรายได้จากการขายของชำและเงินบำนาญโดยมิได้เดือดร้อนใด แม่ของเขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ชีวิตพ่อราบเรียบและมีความสุข แต่พอกระแสมวยสามยกโด่งดังขึ้นในเมืองไทย เขารู้สึกเหมือนพ่อมีฝันใหม่ในชีวิตอีกครั้ง ความฝันในความหวังของพ่อมีเขาเป็นตัวขับเคลื่อน
เขารู้สึกมีแสงวูบวาบชอนไชนัยน์ตา เสียงดนตรีกระหึ่มทั่วทั้งสนามมวย มันเป็นความแปลกใหม่ในชีวิต เดิมทีเขาชกมวยไทยห้ายก สวมนวมใหญ่เพื่อลดอันตรายจากการต่อสู้ แต่หลายปีที่ผ่านมามวยไทยห้ายกตกต่ำมาก ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม มีโปรโมเตอร์หัวใสจัดการแข่งขันมวยไทยสามยก เปลี่ยนแปลงกติกาบางอย่าง เช่น ให้สวมนวมเล็กที่นิ้วทั้งห้าโผล่ออกมาอย่างอิสระ ความจริงมันไม่ใช่นวม มันเป็นแค่แผ่นหนังบางๆ เขาก้มลงมองมือของตัวเองอีกครั้ง เขาเคยบอกพ่อว่าไม่ชินกับมัน พ่อบอกว่าเดี๋ยวก็ชินไปเอง เขาไม่ชอบนวมลักษณะนี้ มันเหมือนใช้หมัดลุ่นๆ ชกกันโดยปราศจากกันชนความปลอดภัย แน่นอน โอกาสเจ็บตัวย่อมมีมากขึ้น
กติกาอีกข้อคือนักมวยต้องชกกันในทันที จะจดๆ จ้องๆ ลองเชิงกันแบบมวยไทยห้ายกไม่ได้แล้ว ใครชกไม่สนุก ใครหนีคู่ต่อสู้จนน่าเกลียด เขาจะไม่จัดให้ชกอีก
พ่อบอกว่ามึงเชื่อกู มึงตั้งใจสักหน่อย ถ้ามึงชนะหลายๆ ครั้งค่าตัวถึงหนึ่งล้านบาทแน่ เมื่อก่อนมึงได้แค่หลักหมื่น โอกาสทองเดินทางมาหาถึงหน้าบ้านแล้ว เขาเห็นแววตาลุกโชนจากนัยน์ตาพ่อ
พ่อตั้งความฝันไว้สูงเกินกว่าที่เขาจะทำได้
เขาเจอคู่ชกแล้วตั้งแต่ชั่งน้ำหนักตอนเช้า ฝรั่งคนนั้นเป็นชาวรัสเซียรูปร่างบึกบึนสูงใหญ่ อายุ 24 ปี ถือเป็นวัยสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ แม้น้ำหนักที่ชั่งทั้งสองคนเท่ากัน แต่รูปร่างเขาเสียเปรียบนักมวยต่างถิ่นมาก เขาคิดว่าตัวเองเหมือนเรือผุที่ต้องปะทะกับหินโสโครก
“มึงอย่าไปกลัวมัน” พ่อบอกหลังชั่งน้ำหนักเสร็จ “ไอ้พวกนี้โตแต่ตัว แข็งแรงแต่ร่างกาย กระดูกมันอ่อนฝีมือมันด้อย ตอนมึงเป็นแชมป์เวทีราชดำเนิน มันน่าจะยังไม่ได้หัดมวย มันเพิ่งชกมายี่สิบกว่าครั้ง มึงต่อยมาเกินร้อยครั้งแล้ว กระดูกกระเดี้ยวต่างกันลิบลับ”
พ่อเห็นว่าอายุเขาเพียงสามสิบปี ไม่น่ามีปัญหาในการชกสามยก นักมวยไทยอายุถึงสี่สิบปีแล้วก็มี เขาอยากจะบอกว่านักมวยที่พ่อพูดถึงไม่ได้ทำงานอื่น ชกมวยมาตลอด มีการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ต่างกับเขาที่แขวนนวมห้าปีแล้ว เขามิใช่เพียงดอกใบโรยรา รากแก้วแห่งชีวิตเหมือนจะคลอนแคลนแล้วด้วย พ่อลืมนึกไปว่านักมวยมีวันวัยรุ่งโรจน์เพียงชั่วกาลเวลาขยับปีก เพียงช่วงฤดูกาลผันเปลี่ยน ความรุ่งโรจน์ผันไปอย่างรวดเร็ว มิใช่ว่ามีฝีมือดีกว่าแล้วจะได้ชัยชนะ สภาพร่างกายดีเยี่ยมต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญกว่า ยิ่งมวยไทยสามยกมันเหมือนการห้ำหั่นกันด้วยพลังจริงๆ ถามว่ากลัวไหมกับคู่ต่อสู้ตัวใหญ่และแข็งแรงกว่า เขาตอบได้ทันทีว่ากลัว ถ้าปะทะกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาอาจจะมีเรี่ยวแรงยืนได้เพียงยกเดียว ถ้าล้มมันไม่ได้ในสามนาทีแรก เขาคงจะแหลกไปกับความแข็งแกร่งของมัน นอกจากเตะก้านคอมันได้เต็มแข้งสักฉาด นอกจากคมศอกสับมันจนร่วงไปกองกับพื้นได้
“ถ้ามึงชนะมันได้ในวันนี้ นายของกูต้องจัดมึงชกต่อไปแน่”
คำว่า “นายของกู” พ่อหมายถึงโปรโมเตอร์ระดับโลกผู้จัดเขาชกในวันนี้ พ่อรู้จักและสนิทสนมกับเจ้านายคนนี้มานานแล้ว พ่อเล่าให้ฟังว่านายของพ่ออยากเห็นเขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง เชิงมวยเขาดี ถ้าสภาพร่างกายดีต้องกลับมาดังได้อย่างแน่นอน พ่อดีใจจนออกนอกหน้า แถมยังบอกว่ามวยรายการนี้ถ่ายทอดสดไปกว่าหนึ่งร้อยประเทศ ถ้าเขาชนะศึกหนนี้ได้ ต้องมีชื่อเสียงก้องโลกอย่างแน่นอน
การชกมวยสามยกไม่มีการไหว้ครู เพราะมีผู้รู้สรุปว่านี่ไม่ใช่มวยไทย มวยไทยต้องชกห้ายกและต้องใช้กติกามวยไทยเดิม เขาได้แต่ภาวนาในใจ มิได้ภาวนาให้ตัวเองชนะหรอก ขอเพียงแต่อย่าบอบช้ำมากเกินไปก็พอ
เขาซ้อมมวยมาบ้างแต่ซ้อมแบบซังกะตาย ซ้อมมิให้พ่อเสียหลักความตั้งใจ ส่วนภรรยากับลูก-ทั้งสองคนบอกว่าไม่อยากมาดูเขาชก ไม่ว่าจะในเวทีหรือจากการถ่ายทอดสด
เขาเข้าใจภรรยาดี มีเมียคนไหนบ้างอยากเห็นความเจ็บปวดที่เกิดกับสามี
ระฆังการชกยกแรกดังขึ้น กรรมการสับมือให้ชกในทันที เขาจำได้ว่าก่อนเดินขึ้นเวที คนที่เดินนำหน้าออกมาจากห้องพักบอกกับเขาว่า
“ถ้าชนะสวยๆ เจ้านายอาจจะมีโบนัสให้ถึงสามแสน พยายามหน่อยนะคุณ”
พอได้ยินคำนี้ตาพ่อสว่างวาบ ก่อนเขาเดินออกไปกลางเวที พ่อยังบอกอีกว่า “ถ้ามีจังหวะน็อกได้ให้น็อกในยกแรกเลย มึงเก่งกว่ามันมาก แต่กูกลัวมึงจะยืนไม่ไหวถ้าต้องชกถึงสามยก”
เขาเห็นด้วยกับคำพูดของพ่อเพราะเขารู้สภาพของตัวเองดี มวยไทยอยู่ในยุคการใช้พละกำลังรุกรานศิลปะมาหลายปีแล้ว ชัยชนะจึงมักจะตกอยู่กับจอมอึด-จอมพลังอยู่เสมอ
นักชกจากหลังม่านเหล็กไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้ชั่วเสี้ยววินาที กายแกร่งราวหมีขาวปราดเข้ามาพร้อมรัวกำปั้นซ้ายขวาถี่ยิบ เขาดึงตัวหลบใช้เท้าเขี่ยขาหน้าตามจังหวะการต่อสู้ ฝรั่งหนุ่มเสียหลักล้มลงกองกับพื้นอย่างไม่คาดคิด มันผุดลุกขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาไม่รู้หรอกว่ามันโกรธหรืออาย มันโจมตีเข้ามาราวเสือร้ายหมายขย้ำเหยื่อ หนนี้มันใช้แข้งเป็นใบเบิกทาง เขาหวดตีนขวาโต้เมื่อเห็นชายโครงเปิดว่าง เสียงดังบึ้กเสนาะหู แต่มันคล้ายมิรู้สึกรู้สา เขาเองเสียอีกที่รู้สึกเหมือนตัวเองเตะใส่ท่อนไม้ มันแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก
มันเลิกใช้แข้ง เปลี่ยนมาใช้กำปั้นสาดใส่ เขาดึงตัวหลบตามที่สายตาจับภาพได้ มีบ้างบางหมัดที่โดนใบหน้า เขารู้สึกทั้งชาทั้งเจ็บ แม้โดนไม่เต็มหมัดยังรู้สึกได้ว่าหนักหน่วงมาก ยิ่งต่อยโดนมันยิ่งได้ใจ กำปั้นคู่ถูกรัวเร็วขึ้น เขาเอนหลังพิงเชือก พยายามหาจุดอ่อนคู่ต่อสู้ เพียงชั่วไม่กี่วินาทีเสือเจนสังเวียนมองเห็นเป้าพิฆาตเต็มตา จังหวะที่รัสเซียหนุ่มถลันเข้ามา ง้างกำปั้นขวาหมายถล่มให้แดดิ้น เขาตวัดแข้งขวาไปที่ก้านคอด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว แข้งสัมผัสคอต่อด้วยพลังราวครึ่งเดียว เพราะไปติดไหล่ช่วงบนอยู่บ้าง ถ้าเขาอยู่ในวัยหนุ่มเตะได้เต็มเป้ามีหวังลุกไม่ขึ้นแน่ แต่หนนี้-เปล่าเลย มันเพียงแค่ออกอาการชะงักงันเล็กน้อย แถมสาดหมัดลุ่นๆ ใส่เขาชนิดไม่ให้ตั้งหลัก
เขามิอาจรอดพ้นหมัดหนึ่งที่กระแทกเข้าเต็มหน้า เขาทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นเวที กรรมการปราดเข้ามาห้ามไม่ให้มันซ้ำ แล้วสับมือนับเขาในทันที
“หนึ่ง…สอง…”
เขาบอกกับตัวเองว่าหมัดมันหนักมาก เขารู้สึกมึนงงอยู่บ้างแต่พยายามตั้งสติ หันไปมองพ่อที่อยู่ตรงนั้นพอดี พ่อออกอาการตาลีตาเหลือกด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าเขาจะหล่นตั้งแต่ยกแรก
“มึงรีบลุกขึ้นมา มึงจำได้ไหมที่พ่อเคยเล่าว่าครั้งพ่อเป็นทหาร เจ้านายพ่อเห็นบ้านเมืองวุ่นวายจึงคิดยึดอำนาจการปกครอง เขาสั่งให้ลูกน้องทุกคนสู้กับฝ่ายรัฐบาล พ่อสู้อย่างยอมถวายชีวิต แต่เราแพ้-เจ้านายพ่อแพ้ แต่เรายังโชคดีที่รอดคุกรอดพ้นจากความตายได้ รอดด้วยการได้รับพระราชทานอภัยโทษ เจ้านายพ่อคิดปฏิวัติเพราะเห็นแก่บ้านเมือง มิใช่ผลประโยชน์ของตัวเอง พ่อรอดเพราะเจตนาดีของเจ้านาย เอ็งต้องเชื่อฟังพ่อ ลูกทหารต้องเชื่อฟังพ่อเหมือนทหารเชื่อฟังนาย พ่ออยากให้มึงกลับมาต่อยมวยเพราะอยากเห็นมึงได้ดี ลุกขึ้นมาไอ้ลูกชาย”
เขาได้ยินทุกคำพูด เขาเข้าใจทุกถ้อยคำของพ่อ เขามองพ่ออย่างเนือยๆ พ่อจะรู้หรือไม่ว่าผีเสื้อทุกตัวโบยบินอย่างสวยงามได้เพียงชั่วขณะ ไม่นานมันต้องตายไป นักมวยก็เหมือนกัน เขาเองเหมือนผีเสื้อที่ตายแล้ว แต่พ่อพยายามเอาคราบดักแด้มาสวมให้ใหม่ พ่อหวังให้เขาโบยบินประดับโลกหล้าอีกคราครั้ง พ่อฝังใจในความเป็นทหาร พ่อส่งเขาเข้าสู่สมรภูมิกำปั้นทั้งที่มิใช่เป็นวันของเขาแล้ว เขาฝืนใจทำตามพ่อ แต่เขามิอยากกลายเป็นคนพิกลพิการเพราะภัยคุกคามที่มาจากสังเวียน
“ลุกขึ้นเร็วๆ เจ้านายพ่อสั่งคนมาบอกว่าถ้ามึงชนะน็อกได้ นอกจากค่าตัวแล้ว เขาจ่ายโบนัสให้อีกแน่นอน เขากำลังนั่งดูมึงอยู่ มึงต้องทำให้ได้ มึงมันลูกทหาร มึงต้องเชื่อฟังกู ลุกขึ้นสิ ลุกขึ้นมา”
เขารู้ว่าโปรโมเตอร์คนนี้คือเจ้านายในอดีตของพ่อ ผู้เคยคิดยึดอำนาจจากรัฐบาลเก่า แต่กระทำไม่สำเร็จ เขาสลัดเครื่องแบบทหารมาจับธุรกิจมวยไทยสามยก เขาปลุกปั้นจนธุรกิจดังไปทั่วโลก พ่อยังยึดมั่นถือมั่นกับความเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้านายคนนี้ พ่อรับคำสั่งมา แล้วให้เขาแสดงศักยภาพในการออกศึก ถ้าเขาแพ้ในกระดานนี้ นั่นหมายถึงพ่อของเขาย่อมพ่ายแพ้ไปด้วย
เขาบอกกับตัวเองว่าแพ้ไม่เป็นไร ศึกครั้งนี้เขาแทบไม่มีทางชนะ แต่ศึกของพ่อที่รับปากเจ้านายว่าจะไม่ให้เขาแพ้ สงครามในใจพ่อที่มีทั้งต่อเขาและต่อเจ้านาย มันดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าเรื่องใดทั้งหมด แต่คำตอบบนผืนผ้าใบมิได้อยู่ที่ความเก่งกาจในเชิงมวยอย่างเดียว ยุคเปลี่ยนโลกเปลี่ยนผัน ผู้แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะหยัดยืน
เขาคิดว่าพ่อคงแก้ตัวกับเจ้านายได้ แต่ถ้าพ่อแก้ตัวไม่ได้ เจ้านายก็น่าจะเข้าใจในตัวพ่อ พ่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองแพ้สงคราม
เฮ้อ พ่อคิดมากเกินไป พ่อคลั่งความเป็นทหารเกินขอบเขต นี่คือกีฬามิใช่สงคราม
เจ้านายคงมิได้คิดเหมือนพ่อ เจ้านายของพ่อน่าจะเข้าใจตัวนักมวยหมดสภาพคนหนึ่ง ว่ายากที่จะกลับมายิ่งใหญ่ได้ เขาภาวนาให้พ่อปรับเปลี่ยนความคิดได้บ้าง ทหารออกรบใช่ว่าจะชนะได้ทุกครั้ง บางครั้งความพ่ายแพ้มันสอนใจเราได้มากกว่าชัยชนะ ความพ่ายแพ้คือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ แต่ชัยชนะอาจจะเพิ่มความเหิมเกริมให้กับตัวเอง
เขาส่งสายตาอ้อนวอนพ่อ แต่พ่อคงไม่เข้าใจหรอก ขอเพียงให้พ่อรับรู้ความในใจของเขาสักครึ่งเดียวก็เกินพอแล้ว
“…7…8…”
เขาพยายามลุกขึ้นเมื่อกรรมการนับได้ถึงแปด กรรมการสั่งให้ชกต่อ นักมวยรัสเซียปราดเข้ามาราวทอร์นาโดเปี่ยมพลังการทำลาย
ราวไฟกลางเวทีดับลงอย่างกะทันหัน เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างมืดมน เขาน่าจะโชคดีที่เป็นตัวของตัวเองเร็วกว่าที่คิด สงครามของเขาจบลงแล้ว
และขอให้สงครามของเขากับพ่อจบลงไปด้วย •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022