จับตาการเมืองสหรัฐ และผลกระทบต่อสังคมโลก

(Photo by JUSTIN SULLIVAN / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างผู้สมัครเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาถูกจับตามองจากคนทั้งโลก

ไม่ใช่แค่เฉพาะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการทหาร แต่การเมืองของสหรัฐอเมริกามีรูปแบบที่น่าสนใจและน่าสับสนไปพร้อมๆ กัน

เราจะเห็นการแบ่งแยกขั้วการเมืองออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน

และมองเห็นระบบที่กันไม่ให้เกิดพรรคการเมืองที่สามเข้ามาแข่งขันในการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามคือศัตรูที่จะต้องเอาชนะ มากกว่าความคิดที่จะทำงานร่วมกันในอนาคต

และในการเลือกตั้งครั้งนี้เองที่การสร้างความเกลียดชังในตัวผู้สมัครกลับมีความสำคัญไม่ต่างจากการนำเสนอนโยบายต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จนนำไปสู่การพยายามลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์

นอกเหนือจากภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำ “โลกเสรี” ที่ถูกผลิตซ้ำผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่วางตนเองในฐานะ “ตำรวจโลก” และเข้าไปมีบทบาทในความขัดแย้งต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งรวมถึงการเข้าเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง

ดังนั้น ความน่าสนใจหนึ่งของการเมืองประเทศสหรัฐอเมริกาจึงรวมถึงนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีในแต่ละสมัย

ซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง

 

ในภูมิภาคยุโรป สถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

หากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่การสู้รบดังกล่าวจะจบลงอย่างรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม หาก กมลา แฮร์ริส ได้รับชัยชนะ สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยังคงยืดเยื้อต่อไป

ผู้สมัครทั้งสองมีมุมมองต่อการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนแตกต่างกัน

ในการหาเสียง ทรัมป์มักจะย้ำอยู่เสมอว่าหากตนเองเป็นประธานาธิบดี (หากชนะการเลือกตั้งครั้งก่อน) การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนจะไม่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันหากชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์สัญญาว่าการสู้รบดังกล่าวจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม แฮร์ริสในฐานะรองประธานาธิบดีในสมัยของโจ ไบเดน ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการให้ความสนับสนุนยูเครนไม่ว่าจะเป็นยุทโธปกรณ์ทางทหาร การเงิน รวมทั้งอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศ

เป็นที่แน่นอนว่า ทรัมป์ไม่ใช่คนรักสันติภาพ หรือเห็นแก่ความสงบสุขของโลก หากแต่มองเห็นช่องทางการได้คะแนนเสียงจากชาวอเมริกันที่ไม่เห็นเหตุผลของการใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามยืดเยื้อที่มีค่าใช้จ่ายสูง

ทั้งๆ ที่ควรนำมาช่วยเหลือปัญหาหรือกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง

 

ในทางกลับกัน หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะมีความรุนแรงยิ่งขึ้น ถึงแม้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะสนับสนุนอิสราเอลมาโดยตลอด แต่อาจกล่าวได้ว่าการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ทรัมป์ มีความเข้มข้นมากกว่า

ซึ่งแสดงให้เห็นจากการสังหารนายพลคนสำคัญของประเทศอิหร่าน และในการหาเสียงแต่ละครั้ง ทรัมป์ก็ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยอิสราเอลกำจัด “ศัตรู” ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอิหร่าน

ในขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีแฮร์ริสในฐานะรองประธานาธิบดีก็ได้สนับสนุนอิสราเอลมาโดยตลอดผ่านการขายอาวุธที่ต้องการใช้ในการสู้รบ ถึงแม้จะมีการประท้วงต่อต้านจากฐานเสียงของตนเองก็ตาม

แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐชุดนี้ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทโดยตรงในความขัดแย้งและมีความพยายามที่จะลดความตึงเครียดในภูมิภาค

ดังนั้น จึงอาจคาดการณ์ได้ว่า หากทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการที่สหรัฐเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงในการสู้รบ

 

ในเอเชีย ถึงแม้สหรัฐอเมริกาเองจะยึดถือนโยบายจีนเดียวมาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความสัมพันธ์กับไต้หวันและยังเป็นผู้จำหน่ายยุทโธปกรณ์ทางทหารรายใหญ่ที่สุดให้แก่ไต้หวันอีกด้วย

ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับไต้หวัน อาจมองได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างการให้ความคุ้มครองจากสหรัฐและการใช้งบประมาณในการซื้ออาวุธของไต้หวัน

นอกจากนั้น สหรัฐอเมริกายังไม่ยอมรับแผนที่เขตแดนทางทะเลของจีน และมักจะส่งกองกำลังทางทะเลของตนไปแสดงศักยภาพในพื้นที่เหล่านั้น

รวมถึงความพยายามในการสร้างพันธมิตรทางทหารในภูมิภาคอินโดจีน (เช่นเดียวกับนาโต้) อย่างเช่น AUKUS ก็ก่อให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดดังกล่าว ยังไม่ส่งผลให้เกิดการสู้รบดังเช่นในภูมิภาคยุโรปและตะวันออกกลาง

โดยหากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง คาดว่าจะมีการเผชิญหน้ากับจีนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้านี้จะเป็นไปในลักษณะของสงครามเศรษฐกิจมากกว่าการทหาร เช่น การตั้งกำแพงภาษีที่สูงมากต่อสินค้าจากจีน

ในขณะเดียวกัน ชัยชนะของแฮร์ริสก็ไม่น่าจะทำให้สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้น สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะยังดำรงต่อไป รวมทั้งการบีบบังคับให้ธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน (หรือกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้อง) อย่างเช่น TIKTOK ที่จะต้องรับผลกระทบเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง อาจคาดการณ์ได้ว่า ชัยชนะของทรัมป์จะทำให้ไต้หวันต้อง “จ่ายค่าคุ้มครอง” มากขึ้น

แต่ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะ ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นสมรภูมิที่ร้อนแรงอย่างแน่นอน

 

นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าจับตามองที่เกี่ยวข้องกับสังคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องผู้อพยพที่จะเป็นประเด็นที่มีความแตกต่างและจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนระหว่างการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์และแฮร์ริส ทรัมป์ได้พิสูจน์แล้วว่ามีแนวคิดที่แข็งกร้าวต่อผู้อพยพแบบผิดกฎหมายที่เข้าไปยังสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างกำแพงตามแนวชายแดนและการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น

ในทางกลับกัน แฮร์ริสก็เช่นกันที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเปิดรับผู้อพยพเหล่านั้นเข้าสู่สหรัฐและมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อย ดังนั้น ชะตาของผู้อพยพจำนวนมากจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป

ในขณะเดียวกัน องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาบางองค์กร อาจประสบปัญหาด้านงบประมาณ มีการคาดการณ์กันว่าองค์กรเช่น USAID น่าจะถูกตัดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี เนื่องจากมุมมองของทรัมป์ที่มีต่อองค์กรเหล่านั้นมักจะถูกมองว่าไม่มีความสำคัญ

อาจกล่าวได้ว่า สังคมโลกในอนาคตอันใกล้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ของสหรัฐ

โดยทั้งทรัมป์และแฮร์ริสเป็นตัวแทนของมุมมองและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันในสรัฐอเมริกา

แต่ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และสังคม ประเทศอื่นๆ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเมืองภายในของสหรัฐอเมริกาได้

ดังนั้น สถานการณ์การเลือกตั้งของสหรัฐจึงเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในโลกจะเป็นอย่างไร

ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่งก็ได้แต่หวังว่าไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ ก็ขอให้ประธานาธิบดีคนนั้นใช้อำนาจอันมหาศาลของตนเพื่อสร้างสังคมโลกที่สงบสุข แทนที่จะสร้างความขัดแย้งให้มากขึ้น