หนูเด้ง

หนทางที่จะพาประเทศออกจากวิกฤตความไร้เสถียรภาพทางการเมือง อันเกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ในเร็วๆ นี้ ดูเหมือนจะตีบตันมืดมนลงทันที

หลังวุฒิสภาโชว์พลังโหวตไม่เอาด้วยกับหลักการสำคัญของ พ.ร.บ.ประชามติ ที่สภาผู้แทนฯ เห็นชอบ โดยเฉพาะเรื่อง “เสียงข้างมากชั้นเดียว”

ส.ว.พลิกจุดยืนนาทีสุดท้าย ยืนยันที่จะใช้หลักเกณฑ์เดิม ต้องเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น แบบที่เป็นอยู่ เล่นเอางงกันทั้งประเทศ

ผลที่เกิดจากปฏิบัติการครั้งนี้ชัดเจนที่สุดคือจะทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำได้ยากขึ้นเท่าตัว และเป็นการการันตีว่า หากเดินเกมยกร่างรัฐธรรมนูญเช่นเดิม ภายในรัฐบาลนี้จะไม่ได้เห็นรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นแทบจะ 100%

คำถามตัวโตๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไม กมธ.วุฒิสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ มีมติกลับลำในนาทีสุดท้าย ทั้งที่ได้เห็นชอบในวาระแรกด้วยเสียงท่วมท้น 177 เสียงต่อ 5 เสียง

ถ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องเกณฑ์การทำประชามติ (ซึ่งเป็นหลักการสำคัญมากๆ ที่เขาผลักดันแก้ไขกันก็เพราะเรื่องนี้) ก็ไม่ควรยกมือรับมาตั้งแต่แรก

 

เจาะไปที่การโหวตในที่ประชุมใหญ่ พบคะแนน ส.ว.กลุ่มสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่ 160 คน โหวตหนุนให้หักกับข้อเสนอของ ส.ส. โดยมีกลุ่มอิสระที่ค้านได้เพียง 21 คน

เรื่องนี้มองจากอังคารก็รู้ว่าเป็นเรื่อง “แท็กติก” ประวิงเวลายื้อการพยายาม “รื้อ” รัฐธรรมนูญปี 2560 นั่นเอง

คำถามต่อมาจึงเป็นเรื่องว่า การถอยในนาทีสุดท้าย-การหักมติ ส.ส.มีขึ้นเพื่ออะไร จะประวิงเวลาไปทำไม?

เพราะเรื่องนี้กระทบอย่างแรงต่อพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลอย่างเพื่อไทย เนื่องจากการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นหนึ่งในนโยบายการเมืองสำคัญที่พรรคหาเสียงและประกาศในการแถลงนโยบายไว้

หากทำไม่สำเร็จ เอาแค่วันหาเสียงช่วงเลือกตั้งปี 2570 ยังนึกไม่ออกว่าสภาพเพื่อไทยตอนนั้นจะเป็นอย่างไร

ที่สำคัญ รัฐบาลภายใต้การนำพรรคเพื่อไทยก็ครองอำนาจมาเป็นเวลาเกินปีแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ แถมยังไม่เริ่มยกร่างรัฐธรรมนูญใหมด้วยซ้ำ แค่อุปสรรคพื้นฐานอย่างกฎหมายประชามติก็ยังไม่สามารถจัดการให้เหมาะสมได้

 

เรื่องนี้ทำคนคิดไปไกล เพราะสัปดาห์ก่อน เพื่อไทยต้องกดปุ่มถอยการแก้รัฐธรรมนูญปมจริยธรรมการเมือง เนื่องจากถูกคัดค้านจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค “นำโดยภูมิใจไทย”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคออกมาประกาศชัดเจนว่าไม่แก้เรื่องจริยธรรม เพราะเป็นการแก้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นนักการเมืองอย่ากลัวการตรวจสอบ ถ้ากลัวก็ควรไปทำธุรกิจอยู่บ้าน

แต่ก็เล่นอีกเกม ด้วยการส่ง “ทีมยังบลัดภูมิใจไทย” ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวนำโดยนายไชยชนก ชิดชอบ บุตรชายนายเนวิน ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย นำทีมประกาศไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปมจริยธรรม รัฐบาลควรเดินหน้ายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมากกว่า ทำประชามติสอบถามประชาชน ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมา ก็จะได้รัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรม ประชาชนเห็นด้วย

โดยไม่ต้องรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง การออกมาประกาศจุดยืนของภูมิใจไทย ทำให้ภาพปรากฏ กลายเป็นภูมิใจไทยได้ภาพความเป็นพรรคใจกว้าง จุดยืนใกล้เคียงความการมีหลักการมากกว่าคิดการณ์ไกลกว่าเพื่อไทยเรื่องรัฐธรรมนูญไปเฉย

ค้านแก้รัฐธรรมนูญเพราะดูทำเพื่อประโยชน์ “ตัว” เกินไป ควรไปมุ่งยกร่างใหม่ให้ถูกต้องชอบธรรม “ดีกว่า”

 

ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปมจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ ส.ว.สีน้ำเงิน โหวตสกัดหลักการสำคัญ กม.ประชามติ (ซึ่งเท่ากับสกัดการทำคลอดรัฐธรรมนูญใหม่ในรัฐบาลเพื่อไทย) ต้องยอมรับว่าในเบื้องต้น เกิดจากความไม่ชัดเจนของเพื่อไทยเอง

แม้จะประกาศเป็นนโยบายรัฐบาลแก่รัฐสภา แต่เนื่องจากสภาพความเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ก็ควรต้องมีการพูดคุย ตกลง หา “สัญญาประชาคม” กันในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก่อน

เมื่อไม่เคลียร์กันก่อน ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้ต้องกดปุ่มถอย (และโดนกดปุ่มถอย) ต่อเนื่องกันติดๆ

แม้จะมีคำสัญญาที่เพื่อไทยให้กับประชาชนไว้ค้ำคอ แต่ถึงที่สุดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ทำให้เพื่อไทยต้องถอยเพื่อรักษาชีวิตทางการเมือง กลับมาดูทิศทางลม รักษาความสัมพันธ์พรรคร่วม ก่อนจะเดินเกมใหม่

และในอีกแง่หนึ่ง ขืนดึงดันก็เสี่ยงเข้าทาง “เกมการเมืองบ้านป่ารอยต่อฯ” ที่สะสมกำลังพลกองทัพนักร้องเปิดสงครามเล่นงานรัฐบาลเพื่อไทยช่วงที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ การเดินเกมยื้อการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ นัยยะทางการเมืองก็คือ สภาพของการรักษาไว้ซึ่งสถานะโครงสร้างอำนาจเดิมภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560

พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือการคงไว้ซึ่งมรดกสำคัญของ คสช. ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญนี้

แน่นอนแม้ 3 ป. จะหายไปจากตำแหน่งทางการเมืองแล้วก็จริง แต่นั่นเป็นแค่เบื้องหน้า

เพราะการเมืองเบื้องหลังอำนาจของ 3 ป.ยังอยู่ โดยเฉพาะมรดกทางการเมืองของ 3 ป.ที่ออกแบบมาด้วยกลไกรัฐธรรมนูญนี้ก็ยังอยู่ “แสดงอำนาจต่อเนื่อง”

ล่าสุดก็คือการทำให้รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่ง หรือก่อนหน้านั้นก็คือการยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งอันดับ 1 ของประเทศ

วิกฤตจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง ให้อำนาจองค์กรอิสระมาก ทำให้ฝ่ายบริหารไม่เข้มแข็ง เอื้อให้เกิดความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวในฝ่ายบริหาร เมื่อเห็นไม่ตรงกัน ก็กำหนดและเดินหน้าวาระทางการเมือง-เศรษฐกิจยาก

จะยื่นแก้ไขกฎหมายที่จะไปกระทบสถานะเดิมที่รัฐธรรมนูญนี้เคยห่อหุ้มไว้ยิ่งยาก หากใครแตะต้อง ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าจะได้รับผลกระทบ แม้จะร่วมรัฐบาลกัน แต่หากพรรคใดพรรคหนึ่งเห็นไม่ตรงกัน อีกฝั่งก็ต้องถอยเพราะไม่อยากให้เรือล่ม

 

แต่ในความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอันปรากฏจากวิกฤตรัฐธรรมนูญกำลังแผลงฤทธิ์

ต้องยอมรับว่าการเดินเกมของ “เสี่ยหนู อนุทิน” ไม่ธรรมดา

ว่ากันตรงไปตรงมาก็คือเล่นเกมโหดใส่เพื่อไทย ไม่ไว้หน้าฝ่ายค้าน

จนทำให้ตอนนี้สถานะทางการเมืองของภูมิใจไทยกลายเป็นที่พึ่งหลักของฝ่ายอนุรักษนิยมไทย ในการต่อสู้ช่วงชิงทางการเมืองกับ “พรรคประชาชน” และเป็นเครื่องมือดีที่สุดที่มีในการต่อรองทางการเมืองกับ “เพื่อไทย”

อย่าลืมว่าวันนี้ต้นทุนการเมืองของภูมิใจไทยไม่ธรรมดา

1. ครองเสียงในสภา 71 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับ 2 ฝั่งรัฐบาล เป็นตัวแปรสำคัญทางการเมือง

2. ครองอำนาจกระทรวงสำคัญหลายกระทรวง ทั้งมหาดไทย, แรงงาน, อุดมศึกษาฯ, ศึกษาธิการ ที่นอกจากมีอำนาจการใช้งบประมาณมาก ยังมีอำนาจในการจัดการเครือข่ายข้าราชการระดับสูง ซึ่งเป็นต้นทุนการเมืองชั้นดี ไม่นับกลไกอำนาจเก่าอย่าง อสม.สมัยเป็น รมว.สธ.

3. แนวร่วมสภา ซึ่งหากดูจากผลโหวตกฎหมายประชามติ ส.ว.สีน้ำเงิน มีมากถึง 80%

4. เป็นพรรคอันดับรองที่เอาตัวรอดมาในทุกยุคสมัย เริ่มจากเป็นฐานกำลังหนุนให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อมาเป็นฐานให้รัฐบาลเพื่อไทยต่อเนื่อง

5. สองผู้นำของพรรค อย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายเนวิน ชิดชอบ ที่มีบารมี คอนเน็กชั่น ประสบการณ์การเมือง “ระดับสูง” แบบที่คนอื่นไม่มี

แถมเป็นจังหวะที่ดีจากที่นายแสวง บุญมี เลขาฯ กกต.ออกมาให้สัมภาษณ์สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำคนวิเคราะห์ว่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้นกับภูมิใจไทย โอกาสรอดพ้นจากคำร้องมีสูง ส่อหลุดบ่วงถูกยุบพรรคจากกรณีศาลเคยชี้เรื่องปัญหาเงินบริจาค ถ้ารอดจริงยิ่งตอกย้ำ “สถานะนำ” ฝ่ายอนุรักษนิยมของภูมิใจไทย ในพื้นที่การเมือง

หากเพื่อไทยมองว่าจะกอดคอ “ภูมิใจไทย” สู้กับ “กระแสพรรคส้ม” คงต้องคิดใหม่ เพราะรูปการณ์วันนี้คือภูมิใจไทยน่าจะถือธงนำอนุรักษนิยมสู้กระแสพรรคส้มแล้ว ไม่เชื่อรอดูบทบาท “สภาบน” หลังจากนี้

ในวันที่กราฟการเมืองของพรรคอื่นๆ ทำได้แค่ประคับประคองไม่ให้พังทลาย

ต้องยอมรับว่า ภูมิใจไทยภายใต้การนำของ “เสี่ยหนู อนุทิน” กราฟเขา “เด้ง” ขึ้นจริงๆ

กลายเป็น “หนูเด้ง” ที่โดดเด่น อาจจะไม่โดดเด่นระดับโลกเท่า “หมูเด้ง” แต่ในการเมืองไทยตอนนี้ ใครหรือจะสู้ “หนูเด้ง”

ไม่เครียด ไม่กดดัน ไม่ต้องเป็นตำบลกระสุนตก แถมมีอำนาจต่อรองทางการเมือง “สูง”