จดหมาย

จดหมาย | ประจำวันที่ 4-10 ตุลาคม 2567

 

• คำถาม (1)

มีคำถามเกิดขึ้นในใจใครหลายคนว่าจะช่วยผู้ประสบเหตุเภทภัยน้ำท่วมให้ผ่านพ้นวิกฤตที่เผชิญอยู่ไปได้อย่างไรโดยเร็ววัน

ซึ่งเพียงแค่คิด หลายชีวิตก็ว้าวุ่น

ครุ่นคำนึงถึงสถานะ-ภาระของครอบครัวที่ยังคงติดหล่มจมปลักอยู่กับวิกฤตโรคโควิดระบาด-เศรษฐกิจซบเซา

ทว่า เมื่อได้เห็นเพื่อนพ้อง ที่มีมากช่วยมาก มีน้อยช่วยน้อย ทยอยกันไป “แม่สาย”

ร่วมขบวนจัดหาเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันบรรจุใส่กล่องส่งไปช่วยเท่าที่มี

กล่าวอย่างปัจเจกชนคนธรรมดาอย่างเราๆ แล้ว

ไม่สามารถผนึกกำลังกันกอบกู้ ฟื้นฟูความเสียหายและเยียวยาความสูญเสียมหาศาลในพื้นที่ประสบอุทกภัย (โดยเฉพาะที่แม่สาย) ได้อย่างบูรณาการเป็นระบบมีแบบแผน

ความหวังหนึ่งที่พึ่งสุดท้ายจึงเป็นฝ่ายรัฐบาล

ที่มีกระทรวง ทบวง กรม บริหารอยู่ในบัญชาการทั้งกลาโหม มหาดไทย พัฒนาสังคม ฯลฯ จะระดมกันไปช่วยพี่น้องประชาชนให้ฟื้นคืนสู่วิถีชีวิตปกติ

อนึ่ง ประการสำคัญ ความยากง่ายในการแก้ไขอุบัติภัยในส่วนภูมิภาคนั้นขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจของนายกฯ-รัฐมนตรี (ที่ควรติดตาม กำกับ ดูแลอยู่ในส่วนกลางและชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจในภารกิจ ความเหมาะสม)

ไม่ควรอย่างยิ่งที่ท่านจะลงพื้นที่ไปในยามวิกฤต

เพราะมันเป็นอุปสรรคอันเป็นเหตุขัดข้องให้การบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์วิบัติภัยได้ล่าช้า ไม่ทันการณ์

ก่อเกิดความสูญเสียจากการอารักขา ต้อนรับท่านและหมู่คณะ

อันมีผลกระทบต่อความตั้งใจของผู้ปฏิบัติการและงบประมาณการใช้จ่ายทุกภาคส่วน

(ควรมอบหมายให้ผู้แทนราษฎร ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถิ่นวางแผน บริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์ จะได้ผลดีกว่าเพราะความรู้ความเข้าใจในพื้นที่-ท้องถิ่นที่ร่วมกันพัฒนา)

สงกรานต์ บ้านป่าอักษร

 

จะไม่ให้ลงพื้นที่น้ำท่วมเลย

คงไม่ได้

เดี๋ยวกลายเป็น “แพ” ละลิ่วตามน้ำแบบไร้ชะตากรรม

ช่วยกันคนละไม้ละมือ น่าจะดีกว่า

ชาวบ้านเดือดร้อนหนักจริงๆ

จะไม่ให้ไปเยี่ยม เก็บตัวในทำเนียบ

หรือหายหน้าเหมือนบิ๊ก ขรก. (ที่จะเกษียณ)

ไม่ดีทั้งนั้น

• คำถาม (2)

กรุณาอ่านข้อ 1 ให้จบ

แล้วดูข้อ 2

จากนั้น ตอบคำถามข้อ 3

1. “…ที่จริงเรามีคนที่มีสมองและความคิดมากมายอย่างเพียงพอทีเดียว ที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชาติได้

ให้ท่านลองนึกดูเถิด

เรามีข้าราชการที่เป็นทหารบก ทหารเรือ และอากาศ เป็นนายพล มากเท่ากับสมัยฮิตเลอร์

เรามีข้าราชการพลเรือนมากจนล้นแผ่นดิน

เป็นนักกฎหมาย นักปกครอง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และศาสตร์อะไรร้อยแปด

โดยมากผ่านเมืองนอก หรือจับงานแผ่นดินมาอย่างนมนานเกือบตลอดชีวิต

และต่างก็มีเหรียญตรา ติดแน่นรุงรังปานแผงปลาหมึก…

แต่ดูเหมือนการมีคนเหล่านี้ที่มีเหรียญตรานั้น

เป็นแต่แสดงว่าทำราชการนานเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าเพราะมีความดีในการทำประโยชน์หรือทำความเจริญให้แก่บ้านเมืองเลย

ความล้าหลังเป็นเต่าคลานของเรา ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเพราะความไม่เป็นโล้เป็นพายของผู้มีอํานาจในการบริหารบ้านเมืองนั่นเอง

ทุกสมัยและทุกรัฐบาล ลัทธิการโคตรถือพรรคพวกและการกอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตน

อุดมคติชาติตายดีกว่าตัวตาย ยังมีอยู่ในสันดานของผู้มีอำนาจในแผ่นดินของเรา

และความเหลวแหลกของคนที่ไม่ถือระเบียบแบบแผนในการบริหารบ้านเมืองนี้แหละ

จึงทำให้บ้านเมืองของเราได้รับความเหลวแหลกไปด้วย

เมืองไทยเรามีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งนับว่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่สร้างขึ้น

แต่ประชาธิปไตยหามีไม่

เรามีทหารเพื่อเป็นรั้วหรือเป็นกําลังของชาติเท่านั้น และทหารต้องเป็นทหาร

แต่เท่าที่เราเห็น ทหารกลับยุ่งปะปนสับสนกับกิจการของพลเรือน และการบ้านการเมืองอย่างน่าเกลียด

ยิ่งกว่านั้นในกลุ่มของทหารยังมีการแบ่งแยกกันอีกระหว่างทหารของชาติ ทหารของฝ่ายก่อการหรือทหารคณะรัฐประหาร ซึ่งมีสิทธิและโอกาสต่างกัน

ส่วนกิจการของพลเรือนนั้น ใครเป็นโคตรของตัว หรือเป็นพรรคเป็นพวกแล้วเป็นบรรจุแต่งตั้งกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

โดยไม่ต้องคำนีงถึงความรู้ความสามารถ หรือเคารพต่อระเบียบกฎเกณฑ์อะไรที่เขาวางไว้…

คนมีวิชาไม่มีโอกาสได้ใช้วิชาความรู้ ความสามารถของตน

เพราะขาดพรรคพวกสนับสนุนแต่งตั้ง…

ข้าพเจ้าเชื่อว่าในช่วงอายุของเราได้เห็นการปฏิวัติ การเปลี่ยนรัฐบาล การรัฐประหาร อย่างไม่มีที่ไหนเขามีมากเท่า

แต่เพราะเหตุว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นกระทำโดยกลุ่มคนหิวกระหาย อํานาจ ลาภยศ และความมั่งมี

มากกว่าความกระหายที่จะสร้างความเจริญให้แก่ชาติ บ้านเมืองนั่นเอง

ชาติของเราจึงได้แต่คนผิดมาปกครองกันอยู่เรื่อย ยิ่งถ้าเกิดรัฐประหารประหอกด้วยแล้ว

บ้านเมืองของเรายิ่งฉิบหายวายวอดใหญ่

ไหนเงินแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนมือกันถลุง

ไหนหมู่ชนคนไทยจะต้องประหัตรประหารกันเองและบ้านเมืองต้องระส่ำระสาย ก่อให้เกิดความแตกแยกสามัคคีกันแล้ว

ผลที่ได้รับก็คือทั้งชาติต้องย่อยยับอับจน

…ยิ่งกว่านั้นภายในประเทศยังกำลังเป็นทาสทางเศรษฐกิจแก่ชนต่างด้าวอยู่ด้วย

พูดถึงการปฏิวัติหรือเปลี่ยนการปกครองสมัยนี้

ข้าพเจ้าอยากเชื่อว่ามันไม่ใช่เพราะเกิคจากความรักชาติอะไรทั้งสิ้น

แต่มันเป็นลัทธิหรืออาชีพของคนที่มีเลือดโจร สีบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ

ที่สะสมพรรคพวก คอยฉวยโอกาสยืดอำนาจของแผ่นดิน

เรื่องการบ้านการเมืองของเมืองไทย ข้าพเจ้าคิดว่ายึ่งพูดไปก็ยิ่งเหนื่อยปาก

อย่าแสดงความคิดเห็นอะไรเลยนั่นแหละ นอกจากก้มหน้าเสียภาษีไป…

เรื่องเมืองไทยและการเมืองของไทย ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าตราบใดการปกครองของไทยเรายังคิดแต่ว่าเมืองกรุงเทพฯ เท่านั้นคือประเทศสยาม และเฉพาะชาวพระนครเท่านั้น คือคนไทยแล้ว

ก็อย่าหวังเลยว่าชาติไทยจะมีวันเจริญก้าวหน้าไปได้

เพราะคําว่า เสรีภาพในการพูดและการเขียนนั้น

แท้ที่จริงมันมีอยู่แต่ในกระดาษรัฐธรรมนูญเท่านั้น…”

2. อ้างอิง เปล่ง วิเทียมญลักษณ์ “ปลัดเปล่งเที่ยวรอบโลก” พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ : 2495 น. 768-771 (ตัดตอนมาแต่ท่อนที่สําคัญ-บันทึก เหตุการณ์ในปี 2489)

3. ถามว่า ผ่านมา 70+ ปีแล้ว เรามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?

หรือเรา Forward to the past?

ขอแสดงความนับถือ

ศ.เกษียณ

 

ขอ “ขี้ตู่” ตัวเองเป็นญาติ “หมูเด้ง”

เด้ง–เชือกหนี คำถามของ ศ.เกษียณ

ไม่รู้-ไม่ชี้-ไม่มีคำตอบ

ช้ำใจ (ฮา) •