ศึกชิงนาง (3)

ญาดา อารัมภีร
“นารีผล” จิตรกรรมฝาผนังวัดหนองยาวสูง

เรื่องราวของ ‘นารีผล’ ใน “กากีคำกลอน” ทำให้ทราบว่าต้นไม้นี้แม้ออกผลเช่นเดียวกับต้นไม้ทั่วไป แต่ความมหัศจรรย์อยู่ที่ออกผลเป็นคน เป็นสาวงามนุ่งลมห่มฟ้าห้อยย้อยระย้าลงมาจากกิ่งไม้ ดังที่พระยาครุฑพานางกากีชมป่าหิมพานต์

‘แล้วชี้บอกรุกขชาตินารีผล อันติดต้นเปล่งปลั่งดั่งสาวสวรรค์’

ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของบรรดาวิทยาธรและคนธรรพ์ ‘วิชาธรคนธรรพ์มาเชยชม’ แม้นารีผลจะปราศจากชีวิตจิตวิญญาณ สื่อสารตอบโต้ไม่ได้ ดังข้อความว่า ‘แต่ไม่มีวิญญาณ์เจรจากัน’ อีกทั้งอายุขัยมีจำกัดเพียง 7 วันก็ตายและเกิดใหม่วนเวียนอยู่เช่นนี้

ดังที่กวีบรรยายว่า ‘ครั้นเจ็ดวันก็อันตรธานไป แล้วบันดาลเกิดใหม่ได้สู่สม’

แต่กระนั้นนารีผลสามารถตอบสนองความต้องการทางเพศได้เป็นอย่างดี ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงตุ๊กตายาง (sex doll) หนึ่งในเซ็กซ์ทอย (sex toy) สมัยนี้ที่มีขายทางออนไลน์หลายราคาทั้งที่เป็นสินค้ามือหนึ่งและมือสอง

 

มีหลักฐานว่าคนไทยรู้เรื่อง ‘นารีผล’ หรือผลไม้ที่เป็นผู้หญิงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังจะเห็นได้จากวรรณคดีเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” เล่าถึงป่าหิมพานต์ในชมพูทวีปว่า

“ถัดนั้นไปมีป่าไม้นารีผล แลว่าลูกไม้นั้นงามนัก ดั่งสาวอันพึ่งใหญ่ได้ 16 ปี แลฝูงผู้ชายได้เห็นก็มีใจรักนัก ครั้นว่าหล่นตกลง ฝูงนกกลุ้มกินดั่งหมีกินผึ้ง”

“ไตรภูมิพระร่วง” ระบุว่านารีผลมีรูปลักษณะเป็นสาวรุ่นวัย 16 ปี งามต้องตาต้องใจ ชายทั้งหลายเห็นแล้วเกิดความรักใคร่ ทั้งยังเป็นผลไม้รสเลิศ เมื่อหล่นลงมาจากต้น ฝูงนกพากันรุมจิกกินราวกับหมีกินผึ้งก็ไม่ปาน ดังที่กาญจนาคพันธุ์อธิบายไว้ในหนังสือ “สำนวนไทย” ดังนี้

“หมีเป็นสัตว์มีธรรมชาติชอบกินรากไม้ ผลไม้ กับน้ำผึ้งและตัวแมลงต่างๆ ผึ้งมีหลายชนิด เช่น ผึ้งดังหรือผึ้งหลวง ผึ้งดา อยู่ตามต้นไม้ ผึ้งมิ้ม ผึ้งโพรง อยู่ในโพรงในถ้ำ หมีกินผึ้งนั้นกินทั้งรังผึ้งทั้งตัว เวลามันกินมีเสียงงึมงำ จึงเอามาเปรียบกับคนบ่นอุบอิบพึมพำ”

ข้อความว่า ‘ฝูงนกกลุ้มกินดั่งหมีกินผึ้ง’ จึงให้ทั้งภาพและเสียงไปพร้อมๆ กัน นอกจากมองเห็นภาพฝูงนกรุมกันกินนารีผลไม่ต่างกับหมีที่กำลังกินผึ้งอย่างเอร็ดอร่อย ยังได้ยินเสียงจิกกินของนกและเสียงหมีเคี้ยวกินผึ้งอีกด้วย

น่าสังเกตว่าฝูงผู้ชายที่พึงใจนารีผลในวรรณคดีเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” นั้น เป็นมนุษย์ชาวชมพูทวีป หาใช่ฤษี นักสิทธิ์ (ผู้สำเร็จ ฤษี) วิทยาธรและคนธรรพ์ตามที่กวีบรรยายไว้ในวรรณคดีเรื่องต่างๆ แต่อย่างใดไม่

 

“ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ เล่าถึงนารีผลว่าเป็นสุดยอดพรรณไม้ในป่าหิมวันต์ หรือป่าหิมพานต์

“อปิจ หิมวนฺเต เอกนาริวนํ ในประเทศป่าหิมวันต์นั้นประกอบด้วยป่าไม้พิเศษจำพวกหนึ่ง มีนามปรากฏชื่อว่า นารีผล เพราะเหตุว่าต้นไม้ในป่าอันนั้น ประดับด้วยดอกอันงาม ควรจะนำมาซึ่งความยินดี ดอกไม้นั้นถ้าบานแล้วก็ปรากฏมีสัณฐานดังสตรี รูปสตรีนั้นประกอบด้วยอวัยวะใหญ่น้อยปรากฏฉันใด ดอกพฤกษาในป่านารีผลนั้น ครั้นบานก็มีสัณฐานเหมือนสตรี ประกอบด้วยอวัยวะใหญ่น้อยปรากฏดังนั้น ดูหญิงแล้วไปดูดอกไม้จำพวกนั้น จะได้ผิดกันหาบ่มิได้ เหมือนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว”

ในวรรณคดีเรื่องนี้ยังอ้างถึง “จัตตาฬีสนิบาต ชาตกฏฺ ฐกถา สตฺตมภาค” ว่า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระกัสสปดาบสได้พาดาบสกุมารไปยังป่านารีวัน (ป่านารีผล) แล้วให้โอวาทสั่งสอนว่า

“ตาต ดูกรพ่อ ดอกไม้แต่บรรดาที่มีในป่าพระหิมวันต์นี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะมีวรรณสัณฐานเหมือนสตรีอย่างดอกไม้จำพวกนี้ไม่มีเลย ดอกไม้จำพวกนี้เป็นดอกไม้อันพิเศษ มีสัณฐานเหมือนสตรีภาพในโลกนี้ เจ้าไม่เคยเห็นสตรี ไม่รู้จักสตรี ก็จำเอาวรรณสัณฐานแห่งดอกไม้จำพวกนี้ไว้เป็นอย่างเถิด สืบไปเบื้องหน้า ถ้าเห็นสัตว์ผู้ใดมีรูปพรรณสัณฐานอย่างนี้ ก็พึงเข้าใจเถิดว่าสัตว์ผู้นั้นเป็นสตรีภาพ บ่มิควรที่จะคบหาสมาคม”

“ดูกรพ่อ ธรรมดาสตรีนี้เป็นมลทินแห่งบรรพชิต บรรพชิตผู้ใดคบหาสมาคมด้วยสตรีแล้ว บรรพชิตผู้นั้นก็จะอยู่ในอำนาจแห่งสตรี สตรีนั้นจะกักกุมย่ำยีให้ถึงซึ่งพินาศฉิบหายจากศีลแลสมาธิ”

 

เมื่อดาบสกุมารเติบโตจำเริญฌาน มีศีล ฌานและตบะแกร่งกล้า ได้ชื่อว่า อิสิสิงคดาบส พระอินทร์จึงส่งนางฟ้าอลัมพุสาลงไปทำลายตบะ เพื่อมิให้ดาบสสามารถเลื่อนระดับมาเทียบชั้นพระองค์

ทั้งนี้ พระอินทร์กังวลว่าถ้าอิสิสิงคดาบส “ขึ้นมาบังเกิดในดาวดึงสพิภพนี้ ก็จะได้เป็นพระอินทร์ อาตมาก็จะเคลื่อนคลาดออกจากยศ บ่มิอาจจะอยู่ในที่เป็นอมรินทราธิราชได้”

อิสิสิงคดาบสเมื่อได้พบนางฟ้าอลัมพุสาผู้มี “รูปทรงงามกว่านางทั้งปวง ฉลาดในการที่จะบำเรอบุรุษ” ก็ลืมเลือนเพิกเฉยคำเตือนของพระบิดา สนทนาปราศรัยใกล้ชิดกับนาง

เมื่อนางแสร้งทำเป็นเมินเดินหนีด้วยมารยาสตรี “อิสิสิงคดาบสก็แล่นไปมะนิมมะนา (หรือ มะนีมะนา = เร็ว ด่วน) คว้าเอากลุ่มเกศ นิวตฺติตฺวา นางอลัมพุสาก็กลับหน้ามาสวมกอดอิสิสิงคดาบสเข้าไว้ ฌานแลตบะแห่งอิสิสิงคดาบสก็อันตรธานเสื่อมสูญไปในขณะนั้น”

อิสิสิงคดาบสครองคู่อยู่กับนางนานถึง 3 ปีเมืองมนุษย์ในสภาพหลับใหล หลังฟื้นตื่นขึ้นมารู้ว่าตนเองสูญสิ้นศีล ฌาน และตบะที่เพียรบำเพ็ญมาก็ร่ำไห้รำพัน

“ใครหนอ มีนามกรชื่อไร มาลวงเราปางนี้จะให้ฉิบหายศีลคุณแลฌานคุณ เปรียบประดุจลมพายุใหญ่มารำพายพัดผัน ยังสำเภาอันเต็มด้วยแก้วให้อับปางในท่ามกลางพระมหาสมุทร ใครหนอ มาบำเรอเราด้วยอำนาจกิเลส?”

 

หลังจากอิสิสิงคดาบสได้ฟังคำสารภาพจากนางฟ้าอลัมพุสา ทำให้หวนรำลึกถึงคำสอนก่อนหน้านี้ของพระกัสสปดาบส ก็ยิ่งเศร้าเสียใจถึงกับรำพันว่า

“พระดาบสบิดานี้พาอาตมาไปถึงป่านารีผล ให้ดูดอกนารีผลที่เบิกบานแล้วสั่งสอนไว้ว่า ดอกไม้จำพวกนี้มีนามชื่อว่านารีผล ด้วยอรรถว่าบานแล้วก็มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนสตรี ไม่เห็นสตรีก็จำเอาดอกไม้นี้เป็นกำหนดเถิด สืบไปเมื่อหน้า ถ้าเห็นผู้ใดมีรูปพรรณสัณฐานฉะนี้ ก็พึงเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นสตรี อย่าคบหา จะนำมาซึ่งความฉิบหาย บิดาสั่งสอนไว้ฉะนี้ อาตมานี้มีความประมาท มิได้ระลึกถึงโอวาทที่บิดาสั่งสอนไว้ ลุอำนาจแก่ราคจิต จึงฉิบหายจากศีลคุณแลฌานคุณ”

นับแต่นั้นอิสิสิงคดาบสได้ตั้งจิตมั่นแน่วแน่บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จฌานสมาบัติดังปรารถนา “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” ทิ้งท้ายเรื่องป่านารีผลและอิสิสิงคดาบสไว้ว่า

“สำแดงมาทั้งนี้จะให้เห็นใจความว่า ป่าพระหิมวันต์นั้นประกอบด้วยป่าไม้พิเศษ มีดอกบานเป็นรูปหญิง วิชาธรทั้งหลายก็ไปช่วงชิงเก็บเอาผลไม้จำพวกนี้มาชมเชยต่างภริยา วิชาธรทั้งหลายนั้น บางจำพวกก็ดำเนินได้ในเวหา อำนาจคันธารมนต์ บางจำพวกก็เหาะได้ด้วยอำนาจพระแสงขรรค์”

 

จะเห็นได้ว่านารีผลที่เป็น ‘ลูกไม้’ หรือ ‘ผลไม้’ ในไตรภูมิพระร่วง หรือเป็น ‘ดอกไม้’ ในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ล้วนมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสาวงามก่อให้เกิดกามกิเลสครอบงำจิตใจบุรุษทั้งที่เป็นมนุษย์ ฤษี นักสิทธิ์ วิทยาธร และคนธรรพ์ ต่างออกอาการทนไม่ไหว อดใจไม่ได้ ต้องไปแย่งชิงมาครอบครองเพื่อ ‘ชมเชยต่างภริยา’

มาถึงตรงนี้อดคิดมิได้ว่า ‘นารีผล’ ผลไม้พิเศษสุดนี้น่าจะสื่อถึงความต้องการเพศรสแปลกใหม่ไปจากธรรมดาสามัญของคนเรา เป็นไปได้ไหมว่าสังคมไทยในอดีตปิดกั้นเกี่ยวกับเรื่องเพศ ถือกันว่าไม่เหมาะสมที่ผู้ใดจะเอ่ยถึง หรือแสดงออกอย่างเปิดเผย จึงถ่ายทอดอย่างเนียนๆ ผ่านทางจินตนาการกวีในรูปของนารีผล แค่คิดเล่นๆ อย่าจริงจัง

ฉบับหน้า ‘ศึกชิงนาง’ กับ ‘งานศิลปะ’ •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร