ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
พลันที่ไตเติลตราบริษัทญี่ปุ่นขึ้น รุจิราภาพากย์ใส่ไมโครโฟนว่า “บริษัทเออิงะ ฮัยกิวชะ รุจิราโงะ มารศรีเงะ พากย์ คำว่า พากย์ ท่านก็ลากเสียงยาวมาก คนหัวเราะตบมือเป่าปากกันเจี๊ยวจ๊าว ชอบอกชอบใจกันลั่นโรงหนังโอเดียน” ตามไปฟัง “เสียง” หัวเราะคนไทยเมื่อครั้งสงคราม รุจิราภา นักพากย์หนัง-ผู้สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนไทยคลายวิตกกังวลในยามห่าระเบิดลงพระนคร
เขา-ฉายามนุษย์ 6 เสียง ได้ก้าวขึ้นมาจากพากย์หนังญี่ปุ่นในช่วงสงคราม

นักพากย์ไมค์ทองคำแห่งสมัยสงคราม
สุวัฒน์ วรดิลก นักเขียน นักหนังสือพิมพ์และผู้กำกับละครเวที ผู้มีชื่อเสียงเล่าว่า ในช่วงสงครามนั้น นักพากย์ที่คนไทยยกย่องว่าเป็นเลิศมีเพียง 2 คน คือ ทิดเขียว (สิน สีบุญเรือง) (2436-2491) และ ม.ล.รุจิราภา อิศรางกูร (2456-2527) เท่านั้น
การก้าวขึ้นมาสู่อาชีพนักพากย์ของรุจิรานั้น เขาเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงละครเวทีของวิกแม่เลื่อน ที่เวิ้งนครเขษมก่อน
ต่อมา เขาได้รับงานแสดงเดี่ยวโดยใช้กล้องยานัตถุ์กับแก้วน้ำเป็นอุปกรณ์แสดงสลับหน้าม่านก่อนละครเล่นสร้างความพออกพอใจให้กับผู้ชมเป็นอันมาก (อนุสรณ์งานศพ ม.ล.รุจิราภา, 2527, 7)
ในช่วงก่อนสงคราม รุจิราภายังรับบทเป็นนักเต้นแท็ปสลับฉากการฉายภาพยนตร์ด้วย ความโด่งดังในฐานนักเต้นแท็ปนั้น สุวัฒน์เล่าว่า เขาได้รู้จักชื่อเสียงของรุจิราภา ก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเล็กน้อย ตั้งแต่เขายังเป็นยุวชนทหาร แต่ไม่ใช่ในฐานะนักพากย์ แต่คือนักเต้นแท็ปชนะเลิศแห่งสมาคมไว.เอ็ม.ซี.เอ. (ม.ล.รุจิราภา, 30)
สุรพล โทณะวณิก เล่าว่า ในช่วง 2482 เขาเคยเห็นการแสดงของรุจิราภาเป็นนักเต้นแท็ปบนเวทีสลับฉากก่อนการฉายภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ประชุมมหรสพที่เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ตรงข้ามวัดประยุรวงศาวาสด้วย (ม.ล.รุจิราภา, 41)
การสร้างภาพยนตร์ไทยในช่วงสงครามประสบกับความขาดแคลนฟิล์ม 35 ม.ม. ทำให้การถ่ายทำภาพยนตร์ไทยใช้ฟิล์มขนาด 16 ม.ม. ซึ่งไม่มีเสียงในฟิล์มยิ่งทำให้บทบาทนักพากย์ของรุจิราภายิ่งโดดเด่นมากขึ้น
ควรบันทึกด้วยว่า สมัยนั้น นักพากย์เป็นชายล้วน มีเขาเพียงคนเดียวที่สามารถทำเสียงเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง พระเอก ผู้ร้ายได้หมด ฉายามนุษย์ 6 เสียงของเขายิ่งขจรขจายในสังคมไทย (ม.ล.รุจิราภา, 20)
นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เมื่อครั้งสงคราม ภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดที่ฉายในโรงภาพยนตร์ไทยมีแต่เรื่องเก่าที่เคยฉายมาตั้งแต่ก่อนสงคราม ไม่มีภาพยนตร์ใหม่เพราะขณะนั้นไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว ความสัมพันธ์ต่างๆ จึงสิ้นสุดลง มีแต่ภาพยนตร์จากญี่ปุ่นเท่านั้นที่ฉายทั่วไป (บุศย์ สิมะเสถียร, 2550)
ดอกดิน กัญญามาลย์ เล่าว่า ในช่วงสงคราม รุจิราภาเคยพากย์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น และการเป็นนักพากย์ภาพยนตร์ญี่ปุ่นนั้นเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ผู้ชมในครั้งนั้น (ม.ล.รุจิราภา, 45)

ฟังเสียงหัวเราะของคนไทยในช่วงสงคราม
สมัคร สุนทรเวช เล่าความหลังครั้งวัยเด็กเมื่อได้ไปชมภาพยนตร์ที่โรงหนังบุศยพรรณ บางลำพูต่ออีกว่า “หนังฝรั่งพากย์ไทยสมัยก่อนนั้น พอเริ่มไตเติล พออ่านชื่อเสียงของผู้แสดงเสร็จแล้ว คนพากย์จะต้องแสดงกลเม็ดเด็ดพรายในการพากย์ด้วยการโปรยเรื่อง เช่น บางคนเริ่มต้นด้วยการขับเสภา หรือไม่ก็จบด้วยเสภา บางคนก็รวบรัดมัดประเด็นบอกเค้าโครงความเป็นมาของเรื่อง และคนพากย์หนังสมัยก่อนต้องใช้วิธีเล่าประกอบเพื่อให้แน่ใจว่าคนดูเข้าใจเนื้อเรื่อง ผมดูหนังที่รุจิราภาพากย์เรื่องชะตากรรมมากว่า 40 ปีแล้ว ผมยังจำข้อความเริ่มต้นก่อนจะเริ่มเรื่องได้ ม.ล.รุจิราภาว่า ดอกไม้ยังมีวันเปลี่ยนสี วันเดือนปียังมีวันเปลี่ยนแปลง ไฉนเลยเล่าชีวิตมนุษย์เราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา…” (ม.ล.รุจิราภา, 19)
สมพงษ์ วงศ์รักไทย นายกสมาคมนักพากย์แห่งประเทศไทย เล่าว่า ในช่วงสงคราม คนไทยหาภาพยนตร์ฝรั่งชมได้ยาก เพราะไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงส่งหนังของเขามาฉายในไทย
“ครั้งนั้น ชื่อของ ม.ล.รุจิราภา ประกาศหราอยู่หน้าโรงโอเดียน (สามแยก) (ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว) พอรู้ข่าว ผมก็ตัดสินใจหนีโรงเรียนไปดูท่าพากย์ทันที หนังที่ฉายผมจำชื่อบริษัทญี่ปุ่นได้ และเพิ่งส่งมาฉายเมืองไทยบริษัทเดียว ชื่อบริษัท เออิงะ ฮัยกิวชะ พอเริ่มไตเติล ตราบริษัทขึ้น ท่านก็เริ่มพากย์ทันทีว่า บริษัทเออิงะ ฮัยกิวชะ รุจิราโงะ มารศรีเงะ พากย์ คำว่า พากย์ ท่านก็ลากเสียงยาวมาก คนหัวเราะตบมือเป่าปากกันเจี๊ยวจ๊าว ชอบอกชอบใจกันลั่นโรงหนังโอเดียน”

สมพงษ์เล่าเสริมว่า เมื่อผู้ชมติดใจสไตล์การพากย์ของรุจิราภากันเกรียว ทำให้ “ทางบริษัทโอเดียนจ้างท่านพากย์ผูกขาดเลย และก็พากย์บริษัทเออิงะ ฮัยกิวชะนี้ผูกขาดด้วย
ต่อมา พอหนังญี่ปุ่นบริษัทนี้ขึ้นไตเติล พอเห็นตราบริษัทเท่านั้น (คนดูในโรงก็พากย์พร้อมกันท่านว่า เออิงะ ฮัยกิวชะ คนดูกระแทกเสียง ฉะ ดังกว่า ม.ล.รุจิราภาเสียอีก ผมเองก็ฉะเต็มที่เหมือนกัน) พอท่านมาพากย์ครั้งใด ผมก็หนีโรงเรียนมาดูท่านทุกครั้ง (กลางคืนไม่กล้ามา เพราะผมอยู่ฝั่งธนฯ)…” (ม.ล.รุจิราภา, 48)
ในช่วงสงคราม รุจิราภาไม่ได้อพยพไปไหน เขาคงปักหลักยังชีพในพระนครด้วยการพากย์ภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่ที่โอเดียนและแคปปิตอลต่อไป ผู้คนยังคงเวียนมารับชมภาพยนตร์ที่เขาพากย์กันอย่างไม่ระย่อ แม้จะเป็นการชมภาพยนตร์ท่ามกลางเสียงระเบิด หากเมื่อไรมีเสียงหวอ ผู้ชมก็วิ่งหลบระเบิดกัน พอเหตุการณ์ปกติแล้ว ผู้ชมก็มาชมภาพยนตร์กันต่อ
จุรี โอศิริ บันทึกว่า รุจิราภาใช้การพากย์ปลอบประโลมขวัญของผู้ชมให้หายหวาดกลัว ด้วยการสร้างความขบขันให้ผู้ชม โดย “หม่อมจะถามคนดูว่า แขนใครโดนระเบิดขาดกระเด็นอยู่หน้าโรงหนังรีบไปเอาแขนต่อเสียก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปดูที่บ้านว่าบ้านโดนระเบิดหรือเปล่า คนที่เพิ่งรอดตายมาได้พากันชอบอกชอบใจขอดูหนังก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปดูบ้านเรือนของตน” นี่คือความทรงจำของผู้คนในสมัยนั้น (จุรี โอศิริ, 2542, 82-83)

แก้ว อัจฉริยะกุล เล่าไว้ว่า ผู้คนพากันอพยพออกนอกกรุงกันเป็นจำนวนมาก บ้านเมืองเงียบเหงาราวกับเมืองร้าง การมหรสพซบเซา ภาพยนตร์อเมริกันก็ไม่มีเข้ามาฉายใหม่ มีแต่เรื่องเก่าๆ ฉายวนซ้ำซาก จึงต้องใช้วิธีพากย์ และมีดนตรีสลับกับจำอวดหรือเรียกกันว่าละครย่อยเพื่อดึงดูดคนดู ช่วงนั้น มีแต่ภาพยนตร์ญี่ปุ่นก็ทะลักเข้ามาฉายกันเต็มบ้านเต็มเมือง เคยมีคนลักลอบนำภาพยนตร์อเมริกันเข้ามาฉายบ้างก็น้อยเรื่องและต้องเสี่ยง ที่เสี่ยงไม่รอดถูกทหารญี่ปุ่นจับได้ ฟิล์มก็ถูกจับโยนลงทะเลหรือเผาไฟวอดวายไป (ปฏิพัทธ์ สถาพร, 2560, 76)
เมื่อสงครามยุติลงแล้ว บ้านเมืองเริ่มฟื้นฟูกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ผู้คนเริ่มโหยหาความสุขภายหลังจากเผชิญความทุกข์ยากในช่างสงครามมานานปี อุตสาหกรรมภาพยนตร์เริ่มมีการนำภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดกลับเข้ามาฉายใหม่อีกครั้ง ความเฟื่องฟูดังกล่าวทำให้โรงหนังกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง รวมถึงเกิดความเปลี่ยนแปลงกิจการฉายภาพยนตร์ครั้งใหญ่ภายหลังสงคราม


สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022