ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ศัลยา ประชาชาติ |
เผยแพร่ |
ที่มาของคำสั่งพิเศษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องสับเปลี่ยนกำลัง การคุม “ทีมเศรษฐกิจ” รัฐบาลใหม่ มีนัยสำคัญยิ่งทางการเมือง
แม้ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะชิงลงมือ “คืนอำนาจ” การคุมกำลังในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ยืนตระหง่าน ให้กับนายกรัฐมนตรี ไปก่อนหน้านั้นด้วยเหตุผล “ล้วงไม่ถึง-แตะไม่ได้”
กระนั้น มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 สิงหาคม 2559 ที่ยืนยัน “คำสั่ง” เปลี่ยนให้ทีม “เพื่อนนายกรัฐมนตรี” ขยับคุมทีมเศรษฐกิจเพิ่ม อย่างน้อย 2 กระทรวง ไหวกระเพื่อมไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 3”
เพราะคำสั่งนายกรัฐมนตรี คล้ายกับการปรับคณะรัฐมนตรี ขึ้นสู่ “ประยุทธ์ 4” ไปส่วนหนึ่งแล้ว
จังหวะเดียวกับการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งของ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และการได้คุมกำลัง-ควบเก้าอี้เพิ่ม ของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ล้วนกระแทกตรงไปที่ “ทีมสมคิด”
ไม่ควรลืมว่า รัฐบาลทหาร ให้คำจำกัดความของกระทรวงไอซีที เป็น 1 ในกระทรวงด้านความมั่นคง กระทรวงนี้จึง “ขึ้นตรง” กับ พล.อ.อ.ประจิน มาตั้งแต่การปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 3” แล้ว
จริงอยู่ ในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ให้บทบาท “สมคิด” จัดแถวทีมเศรษฐกิจ-ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญ แต่ทั้งกระทรวงพลังงงาน ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับ “สมคิด” เช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคม ที่ “ทีมนายกรัฐมนตรี” ติดตาม-กึ่งกำกับ “โดยตรง” เสมอ
ความลักลั่นเรื่องการ “ขึ้นตรง” สั่งสมมานับปี กระทั่งฝีแตก “สมคิด” ต้องยอมปล่อยมือจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก เป็นแขน-ขาในการแก้ปัญหาปากท้องให้แก่เกษตรกร โดยต้องทำงานสอดประสานกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ที่ “สมคิด” กำกับดูแล
แต่กระทรวงเกษตรฯ มีรัฐมนตรีว่าการระดับขุนศึกคนสำคัญของคณะรัฐประหาร อย่าง “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” อยู่ภายใต้การกำกับของรองนายกฯ “พลเรือน” การขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจระดับมหภาค จึงติด “กับดัก”
บรรยากาศ “มอร์นิ่งบรีฟ” ในวง “โจ๊ก” ทีมเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงไม่มี “พล.อ.ฉัตรชัย” ร่วมโต๊ะ
“ทีมสมคิด” เร่งเข็นนโยบายและมาตรการด้านเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการเดินสายตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกระทรวงด้านเศรษฐกิจแทบทุกสัปดาห์
สไตล์ของ “สมคิด” ก็มักจะใช้การ “ตั้งเป้าสูง” สั่งรัฐมนตรี-ข้าราชการ แบบท้าทาย เพื่อเร่งเข็นผลงาน จึงเพิ่มแรงกดดัน-เบียดขบ กระทบกระทั่งกันมากขึ้น
ปมความขัดแย้ง เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้น หลังจากกระทรวงการคลังได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559 มีมติเห็นชอบ “มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2559/2560” ซึ่งมีด้วยกัน 4 มาตรการ โดย 1 ในมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ ครม. เห็นชอบ ก็คือ การจ่ายเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่ ตั้งวงเงินไว้สำหรับโครงการนี้ทั้งสิ้น 37,860 ล้านบาท
ที่สำคัญ แพ็กเกจมาตรการดูแลเกษตรกรชุดนี้ เป็นการใช้กลไกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มี “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ขุนคลังคู่ใจรองนายกฯ “สมคิด” เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่หลายฝ่ายเริ่มจับตามองว่า มีการ “แย่งซีน” กันเกิดขึ้น
นั่นเพราะว่าก่อนหน้านั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้เสนอให้ ครม. วันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เห็นชอบแพ็กเกจ “มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/2560 ด้านการผลิต” ที่มี 3 มาตรการย่อยไปแล้ว เพียงแต่อาจจะยังไม่โดนใจหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนัก จึงต้องมีแพ็กเกจของกระทรวงการคลังตามออกมา
จากนั้น รมว.เกษตรฯ ทำหนังสือถึง รมว.คลัง เร่งให้จ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท พร้อมกับเสนอให้ใช้รายชื่อเกษตรกร ที่กรมส่งเสริมวิชาการเกษตรได้มีการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวไว้อยู่ ประมาณ 3.7 ล้านครัวเรือน
แต่ทีมกระทรวงการคลัง “ปฏิเสธ” แนวทางของกระทรวงเกษตรฯ โดยเสนอให้ใช้ข้อมูลการขอสินเชื่อของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจาก ธ.ก.ส. เป็นข้อมูลในการพิจารณาการให้สิทธิ์ตามโครงการดังกล่าวแทน เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้จ่ายชาวนาที่ควรได้รับสิทธิ์ได้อย่าง “ถูกฝาถูกตัว” มากกว่า
ห้องประชุมร้อนแทบปรอทแตก เมื่อ “พล.อ.ฉัตรชัย” ต้องทุบโต๊ะ ผลักเอกสารเรื่องนี้คืนไปที่กระทรวงการคลัง อีกครั้ง
ข้อขัดแย้งลากยาวมาถึงห้องประชุม ครม. เมื่อกระทรวงการคลังนำแนวทางการจ่ายเงินที่จะใช้ข้อมูลการขอสินเชื่อของ ธ.ก.ส. เสนอให้ ครม. เห็นชอบในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ทางกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้เสนอแนะให้ ครม. เพิ่มเงื่อนไขการจ่ายเงินด้วยว่า ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับเกษตรกรที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการผลิตพืชทดแทนตามโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2560 ที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559
รวมถึงให้ยึดถือ Agri-Map ในการคัดกรองผู้ที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมออกไปจากผู้ที่ควรได้รับสิทธิ์ไร่ละ 1,000 บาทด้วย
เงื่อนไขที่ถูกเพิ่มเข้ามานี้ ทำให้ทาง ธ.ก.ส. ไม่กล้าจ่ายเงิน เพราะ “เกณฑ์ไม่ชัด” ทั้งกรณีข้าวนาปรังที่ยังไม่ได้มีการเพาะปลูก เมื่อทำจดหมายไปถามกระทรวงเกษตรฯ ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ และไม่กล้า “จิ้ม” ลงไปว่าใคร/พื้นที่ไหน “ไม่ควร” ได้รับเงินไร่ละ 1,000 บาท
กระทรวงการคลังจึงต้องเสนอขอให้ ครม. มีมติทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินอีกครั้ง มีผลให้ชาวนา จะได้รับเงินตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2559 เป็นต้นไป ล่าช้าไปกว่า 3 เดือน
เกาเหลาทีมเศรษฐกิจ ร้อนแรงยิ่งขึ้นเมื่อมีวาระเรื่อง “สต๊อกยาง” 3.1 แสนตัน ที่ทั้ง 2 กระทรวง 2 ทีม มีความเห็นสวนทางกัน
ไม่นับรวมที่ “ทีมสมคิด” ต้องการจัดแถวระบบสหกรณ์ออมทรัพย์-สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ แต่กระทรวงเกษตรฯ เปิดศึกต่อต้าน
ปฏิบัติการล้วงไม่ถึง-แตะไม่ได้ จึงถึงคราวต้อง คืนอำนาจให้หัวหน้า คสช. จัดสรร-สับเปลี่ยนกำลังใหม่ ผ่องถ่ายคืน “พล.อ.ฉัตรชัย”
ทั้งยังเป็นคำอธิบายในตัวเองได้อย่างชัดเจนว่า การปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 4” อยู่ไม่ไกลแล้ว