ซ่อม หรือ ซื้อใหม่ อันไหนคือคำตอบ

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

ซ่อม หรือ ซื้อใหม่

อันไหนคือคำตอบ

 

ในยุคที่เราอยู่กับแนวความคิดว่าเมื่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้นเกิดพังเสียหายขึ้นมา วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือการโยนทิ้งแล้วซื้อใหม่ เราก็อาจจะไม่ทันได้นึกถึงรายละเอียดของการซ่อมสินค้าชิ้นนั้นสักเท่าไหร่ หรือเราอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็ได้ว่าจริงๆ แล้วผู้ผลิตสินค้าควรจะจัดเตรียมคู่มือการซ่อมสินค้า หรือเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงอะไหล่แท้ได้โดยไม่ปิดกั้น

สิ่งๆ นี้เรียกว่า right to repair หรือสิทธิในการซ่อม โดยผู้ผลิตสินค้าจะต้องถูกบังคับด้วยกฎหมายให้จัดเตรียมข้อมูลการซ่อมสินค้าซึ่งเริ่มตั้งแต่กระบวนการง่ายๆ อย่างวิธีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไปจนถึงการซ่อมที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น และจะต้องมีอะไหล่แท้ไว้ให้ผู้บริโภคซื้อหาได้โดยที่ไม่ปิดกั้นว่าจะได้อะไหล่แท้ก็ต่อเมื่อนำเครื่องมาซ่อมที่ศูนย์เท่านั้น

เมื่อปีที่แล้ว นิวยอร์กเป็นมลรัฐแรกของสหรัฐที่บังคับให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิในการซ่อมโดยนับเป็นมลรัฐแรกที่ใช้กฎหมายนี้ ตามมาด้วยมลรัฐอื่นๆ หลังจากนั้น

 

กฎหมายสิทธิในการซ่อม ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่จะรับมือกับวัฒนธรรมการโยนอุปกรณ์ดิจิทัลทิ้งแล้วซื้อของใหม่ทันทีที่มีปัญหา อุปกรณ์เหล่านั้นก็จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

เมื่อโยนของเก่าทิ้งไปก็ต้องซื้อของใหม่มาแทนที่ก็ยิ่งทำให้เกิดการผลิตที่ไม่จำเป็น ทั้งการขุดแร่ การปล่อยคาร์บอน และมลภาวะอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

ตัวฉันเองก็ย้อนนึกไปถึงสมัยก่อนที่หากอะไรสักชิ้นเสียขึ้นมาสิ่งแรกที่เราจะต้องคิดคือจะซ่อมยังไง เอาไปซ่อมที่ไหน แต่หลังจากนั้นไม่นานเราก็เริ่มเห็นเทรนด์ความคิดที่เปลี่ยนไปว่าการซื้อใหม่ราคาถูกกว่าซ่อม

ในขณะที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็เน้นผลิตขายในราคาถูกแต่คุณภาพแย่ลงก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดว่าซื้อใหม่ง่ายกว่าให้ฝังสนิทแนบแน่นกว่าเดิม

 

มีเหตุการณ์หนึ่งที่กลายเป็นคดีดังที่ตอกย้ำให้เห็นว่าผู้ผลิตต้องการกระตุ้นให้เราทิ้งของเก่า ซื้อของใหม่ให้ได้บ่อยที่สุด คือคดีในปี 2018 ในอิตาลี ที่ Apple และ Samsung ต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 10 และ 5 ล้านยูโรอันเนื่องมาจากระบบปฏิบัติการใหม่ถูกออกแบบมาให้มีผลเสียต่อเครื่องของลูกค้าที่เป็นรุ่นเก่า คือเมื่ออัพเดตระบบปฏิบัติการเป็นเวอร์ชั่นใหม่แล้ว เครื่องที่ใช้อยู่จะช้าลงจนทำให้ต้องซื้อเครื่องใหม่

ทั้งสองบริษัทมีความผิดที่ไม่ให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อผู้บริโภคว่าหากอัพเดตซอฟต์แวร์แล้วจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และไม่ได้แนะนำผู้บริโภคว่าหากต้องการแก้ไขให้โทรศัพท์กลับไปใช้งานได้เหมือนเดิมจะต้องทำอย่างไร

Apple ถูกปรับมากกว่าเพราะไม่ได้ให้ข้อมูลกับผู้บริโภคเกี่ยวกับรายละเอียดที่สำคัญของลิเธียมแบตเตอรี่ ไม่บอกลูกค้าว่าแบตเตอรี่มีอายุขัยแค่ไหน และไม่ได้บอกวิธีการดูแลรักษาไปจนถึงการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ iPhone ด้วย

นับเป็นกรณีศึกษาที่มีความน่าสนใจมากและก็น่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น

 

หากเราคิดจะซ่อมอะไรขึ้นมาสักอย่างก็จะเจอปัญหาว่าอุปกรณ์ดิจิทัลสมัยใหม่ไม่ได้ออกแบบมาให้ผู้บริโภคหรือช่างซ่อมทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานให้กับแบรนด์สามารถซ่อมได้ง่ายขนาดนั้น

จากเดิมที่เราสามารถถอดแบตเตอรี่มือถือมาเปลี่ยนก้อนใหม่ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ มันก็วิวัฒนาการกลายเป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาด้วยดีไซน์ตัวเครื่องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมดหรือเชื่อมกันด้วยกาวหรือน็อตที่ช่างทั่วไปไม่มีอุปกรณ์ที่จะแกะออกมาได้

จึงกลายเป็นความคุ้นเคยว่าถ้าจะซ่อม ก็ต้องส่งซ่อมที่ศูนย์ซ่อมของแบรนด์เท่านั้นซึ่งราคาอาจจะแพงกว่าซ่อมเองหรือซ่อมกับร้านแถวบ้านมากก็ได้

การต้องส่งสินค้ากลับไปซ่อมที่ตัวแทนอย่างเป็นทางการของแบรนด์มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของค่ายรถยนต์ Ford ตั้งแต่ในช่วงปี 1910 ส่งผลกระทบต่อร้านซ่อมอิสระที่ทำให้ไม่สามารถรับงานซ่อมจากลูกค้าได้เพราะเข้าถึงอะไหล่แท้ไม่ได้

จากนั้นแนวความคิดนี้ก็แผ่ขยายไปยังแวดวงอื่นๆ อย่างเช่น คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ

 

ประเด็นสิทธิในการซ่อมกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจในช่วงโควิด-19 ระบาด อุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจต้องได้รับการซ่อมแซม แต่ไม่สามารถทำได้ทันใจเพราะถูกผูกขาดสิทธิในการซ่อม จึงนำไปสู่การผลักดันให้เกิดกฎหมายสิทธิในการซ่อมอย่างจริงจังขึ้นมา

ในปัจจุบัน หลายๆ แบรนด์ก็ตอบรับประเด็นนี้กันมากขึ้น อย่าง Apple และ Samsung เองก็มีโครงการเกี่ยวกับการซ่อมที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคทั้งซ่อมเครื่องได้เอง ทั้งส่งเครื่องซ่อมที่ร้านข้างนอกที่สามารถเข้าถึงอะไหล่ได้ง่ายขึ้น และก็ไม่พลาดเรื่องการอัพเดตซอฟต์แวร์ที่จะไม่ถ่วงเครื่องรุ่นเก่าอีกต่อไป

หรือถ้าไม่ใช่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วก็มีแบรนด์เกิดใหม่อีกหลายแบรนด์ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ของการซ่อมง่ายตั้งแต่การออกแบบสินค้า อย่างเช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจาก Framework ที่ผู้ใช้งานสามารถสลับคีย์บอร์ด ทัชแพด พอร์ตต่างๆ หรือแม้แต่ GPU ได้ด้วยตัวเองทั้งหมด

หรือโทรศัพท์ Fairphone ที่ตั้งชื่อมาเพื่อตอกย้ำว่าเป็นโทรศัพท์ที่จะแฟร์ๆ กับทุกคนในกระบวนการ ก็มาพร้อมเป้าหมายทางด้านจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม เน้นความรีไซเคิล ซ่อมง่าย และสัญญาว่าจะอัพเดตซอฟต์แวร์ได้อย่างน้อย 8 ปีด้วย

ถึงแม้บางแบรนด์จะปรับตัวแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ยังไม่ปรับตัวและยังออกแบบสินค้าหรือมีนโยบายที่ไม่ได้สนับสนุนให้สินค้าของตัวเองซ่อมได้ง่าย หากไม่มีกฎหมายบังคับหรือแรงกดดันจากผู้บริโภค ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นได้เร็วมาก

เราคงได้เห็นความเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิในการซ่อมกันมากขึ้น แม้จะไม่ได้รวดเร็วหวือหวาและยังมีหนทางอีกยาวไกล

แต่อย่างน้อยๆ มันก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว