‘ตาคลี เจเนซิส’ ‘ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา-สงครามเย็น’ ใน ‘หนังวิทยาศาสตร์’

เปลี่ยนผ่าน | ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี

 

‘ตาคลี เจเนซิส’

‘ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา-สงครามเย็น’

ใน ‘หนังวิทยาศาสตร์’

 

หมายเหตุ รายการ “มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี เพิ่งสนทนากับ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยแนวไซไฟเรื่อง “ตาคลี เจเนซิส” โดยมีบทสนทนาน่าสนใจบางส่วน ดังนี้

 

: หลายคนบอกว่าหนังเรื่องนี้แอบมีเรื่องสังคม-การเมืองเยอะ

เราเรียกว่าพื้นของมันคือเลเยอร์ (ระดับชั้น) ทางประวัติศาสตร์แล้วกัน หนังเรื่องนี้จะมีเลเยอร์หลักๆ อยู่สามอัน เลเยอร์ที่มันดราม่า การผจญภัยของนางเอก และดราม่าในชีวิตของเธอ เลเยอร์ของวิทยาศาสตร์ ที่เป็นตัวอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร แล้วก็เลเยอร์ที่เป็นประวัติศาสตร์

สามเลเยอร์นี้ นางเอกเจอสิ่งลึกลับ ซึ่งมาจากปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ สิ่งประดิษฐ์หรือปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์นั้นเกิดจากการนำเข้าของประวัติศาสตร์ ก็คืออเมริกามาตั้งฐานทัพในบ้านเรายุคสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก คือ สงครามเย็น

ทีนี้ ไม่เคยมีใครพูดถึงว่า จริงๆ เรา (ประเทศไทย) ก็มีซีนในสังคมโลก ในบทบาทของประวัติศาสตร์โลก ในยุคสงครามเย็นที่อเมริกามาทำหนังสงครามเวียดนามเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง จริงๆ เรามีซีนอยู่ในนั้น ในฐานะลูกกระจ๊อกของเขา (หัวเราะ) คือมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ผมยังเคยคิดเลย พออ่านประวัติศาสตร์แล้ว แบบคนเวียดนาม คนลาว เขาจะโกรธเราไหม? เพราะยุคนั้นเราให้เขา (สหรัฐอเมริกา) มาตั้งฐานทัพ เอาเครื่องบินไปโปรยระเบิด เวลาเราดู “Forrest Gump” ฮ.ไปลง เครื่องบินไปลงที่เวียดนาม มันก็บินมาจากบ้านเรานี่หว่า

จริงๆ เรามีบทบาทในตอนนั้น ที่ผ่านมา เราก็คงทำตัวเงียบๆ แบบขอโทษนะเพื่อนๆ แต่ในยุคนั้น มันก่อให้เกิดหลายๆ อย่างขึ้นมาเลยในบ้านเรา

เกิดการทะลักเข้ามาทางวัฒนธรรมของอเมริกัน เกิดดนตรี วัฒนธรรมผับบาร์ วัฒนธรรมความรู้เกี่ยวกับการทำหนังทำละครก็มาในยุคนั้น

ละครทีวีกลางคืนบ้านเราก็มาจากตำราที่อเมริกาเอามาให้เราและภูมิภาคลาตินอเมริกา ซึ่งทำให้เห็นว่า ทำไมละครไทยมันเหมือนกับละครพวกเม็กซิกัน พวกโคลอมเบีย (รวมทั้ง) บทบาททางเรื่องของวรรณกรรมที่ยึดโยงอยู่กับแนวคิดทางการเมือง

ลึกลงไปในการเข้ามาของอเมริกันในช่วงนั้น นำมาซึ่งวัฒนธรรมที่เป็นรากฐานของสิ่งที่เป็นเราอยู่จนถึงทุกวันนี้ เราไม่ได้บอกว่าอะไรดี-ไม่ดี มันเกิดขึ้นแล้ว และมันส่งผลต่อเราอย่างนี้

จริงๆ สงครามเวียดนามมันดำเนินเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนทำให้เกิดอะไรไม่รู้เต็มไปหมด แล้วนึกถึงระยะเวลาแบบ 20 ปีของการที่มีฐานทัพอยู่ มานึกถึงตอนนี้คือนึกไม่ออก มันส่งอิทธิพลที่เปลี่ยนประเทศเราไปเลย

กลับมาที่ตัวหนัง พื้นของเหตุการณ์ก็คือว่ามันเกิดขึ้นในยุคสงครามเวียดนามที่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในมุมหนึ่ง ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ที่ว่าอเมริกาเอาโน่นเอานั่นเอานี่มาทดลอง มันก็เป็นวิธีคิดสนุกๆ

: มะเดี่ยวทำหนังโดยพูดถึงสงครามเย็น เรื่องอเมริกาในไทย แล้วก็ตั้งคำถามเรื่องความรู้สึกของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคนไทยโดยทั่วไปไม่ตั้งคำถามเรื่องนี้กัน และยังตั้งคำถามในจุดอื่นๆ อีก ไอเดียในการตั้งคำถามทั้งหมดมันมาได้อย่างไร

อ่านหนังสือเยอะๆ เดินทางท่องเที่ยวไปดูโน่นดูนี่ ก็จะมีหนังสือที่เราชอบอ่านคือ “ต่วย’ตูนพิเศษ” จริงๆ “มติชน” ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในชีวิต ที่ทำให้เราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนมา รวมทั้งหนังสือที่อาจารย์หลายๆ ท่านได้เขียน

สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราเกิดตั้งคำถาม แล้วเราก็รู้สึกว่าการตั้งคำถามไม่ผิด เราอาจจะได้คำตอบอย่างไรก็ไม่รู้ อย่างสิ่งที่เล่าลงไปในหนัง หนังก็จบโดยที่ไม่ได้ให้คำตอบอะไรชัดเจน

แต่มันก่อให้เกิดการถกเถียง การหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาพูดกันถึงข้อเท็จจริงของมัน รวมถึง (การมีปณิธานว่า) แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้วันข้างหน้ามันเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีก

 

: “ตาคลี เจเนซิส” พูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ด้วย ทำไมถึงเอาเรื่องนี้มาใส่ลงในหนังไซไฟ? ต้องการพูดอะไรเกี่ยวกับ 6 ตุลา?

พูดว่ามันเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ส่งผลมาจากอดีตอันไกลโพ้น เป็นสิ่งที่เราอยากจะยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่ามัน (ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา กับโลกอนาคต) เกี่ยวกัน และถ้าเราลืมเหตุการณ์นี้ในอนาคต มันก็จะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก

เพราะหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม มาจนถึงปัจจุบัน มันจะมีเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้นวนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่เรื่อยๆ

ผมแค่มองว่าหนังมันพูดถึง “การส่งต่อ” เราส่งอะไรไปอนาคต สิ่งนั้นมันก็จะย้อนกลับมาหาเรา หรือว่ามันอาจจะไปรอเราอยู่ในอนาคต ส่งต่ออะไร อุดมการณ์ ความเกลียดชัง ความรัก ความหวัง ทั้งหมดคือข้อความที่ถ้าส่งต่อไปในอนาคตแล้ว มันจะไปรอเราอยู่

เราส่งต่อความเกลียดชัง เราส่งต่อความขัดแย้ง มันก็ไปรอเราอยู่ ส่งต่อการแก่งแย่งชิงอำนาจ ความต้องการความเป็นหนึ่งทางอำนาจ มันก็ไปรอเราอยู่ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้รอเรา มันรอ “ลูกหลานเรา” อยู่ หนังกำลังจะพูดเรื่องนี้

ดังนั้น เราจะไม่ได้ไปขยี้บาดแผลทางประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆ ผมแค่บอกว่าอย่าลืม

 

: อะไรคือสารจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ถูกส่งต่อไปยังสังคมไทยในอนาคต และอะไรคือสารที่มะเดี่ยวอยากจะส่งต่อในการเล่าเรื่อง 6 ตุลา?

เรียนรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เรียนรู้ว่าเราเจ็บปวดจากเหตุการณ์นี้ตรงไหน อย่างไรบ้าง แต่ไม่ได้จะบอกว่าให้ลุกขึ้นมาประหัตประหารกัน (แค่อยากให้) ทำความเข้าใจ อย่างที่ตัวละครชื่อ “อิฐ” (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) ในหนังพูดว่า บางทีการพูดกัน มันอาจไม่ทำให้อะไรเลวร้ายไปกว่านี้

ผมคิดว่าการพูดกันเป็นทางออก การพูดกัน ณ ที่นี้ ไม่ใช่เราชวนทุกฝ่ายมานั่งคุยกันแล้วทะเลาะกัน แต่คือพูดกันในสังคม พูดกันในที่ลับ ในที่แจ้ง หรือพูดกันด้วยความห่วงหาอาทรว่าอนาคตเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอก

 

: หนังมะเดี่ยวแทบทุกเรื่องพูดถึงปัญหาอันเกิดจากการที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจคนรุ่นหลัง กระทั่งสารใน “ตาคลี เจเนซิส” ก็เหมือนจะบอกไปถึงผู้ใหญ่-ผู้มีอำนาจ ว่าให้ฟังคนรุ่นหลังมากขึ้นหน่อย

บอกกันทุกครั้งแหละครับ บอกตัวเราเองด้วยนะครับ วันหนึ่งเราก็จะเป็นผู้ใหญ่ ทุกวันนี้ ก็มีลูกน้อง มีเด็ก มีลูกมีเต้า เราก็ต้องบอกตัวเองเหมือนกันว่า เราจะไม่เป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเกลียด

ดังนั้น ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย มันจึงไม่ใช่แค่บอกเด็ก หรือไปให้ท้ายเด็ก แต่มันบอกเราเองด้วยว่า มึงอย่าเป็นคนแบบนี้นะ อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ

ไม่เช่นนั้น เราจะเป็นเหมือนคนที่เราเกลียด