ศึกชิงนาง (2)

ญาดา อารัมภีร

‘ศึกชิงนางในวรรณคดี’ มิได้เกิดระหว่าง ‘วิชาธร วิทยาธร พิทยาธร’ ด้วยกันเท่านั้น

แต่ยังครอบคลุมถึงฤษี นักสิทธิ์ วิทยาธร และคนธรรพ์ แย่งชิงผลไม้พิเศษสุดกันอุตลุด ฆ่าฟันกันจนตายเกลื่อนอยู่ใต้ต้นไม้ดังกล่าว

ทั้งๆ ที่ ‘นารีผล’ หรือ ‘มักกะลีผล’ ในป่าหิมพานต์ มีอายุการใช้งานแสนสั้นแค่ 7 วัน แต่แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มสำหรับผู้อยากใช้บริการเสพสมชนิดสนองตามความต้องการอย่างว่าง่าย ไม่บ่ายเบี่ยงขัดขืนแต่อย่างใด

นิทานคำกลอนเรื่อง “โคบุตร” เล่าถึงพระโคบุตรและอรุณกุมารขณะเที่ยวชมป่า ได้พบต้นนารีผลบนเนินเขา มีคนธรรพ์ นักสิทธิ์ วิทยาธรรายล้อมเฝ้ารักษา

“ครั้นถึงที่เขาใหญ่ในไพรสณฑ์ แลเห็นต้นนารีผลบนเนินผา

ล้วนคนธรรพ์นักสิทธิ์วิทยา เฝ้ารักษาแลล้อมอยู่พร้อมกัน

ทั้งสององค์ทรงแลไม่เคยเห็น มุ่งเขม้นแล้วทรงพระสรวลสันต์

พระโคบุตรนึกอนาถประหลาดครัน ต้นไม้นั้นแต่ล้วนนางสล้างไป

ที่ใต้ต้นคนธรรพ์สะพรั่งอยู่ พระน้องดูให้เห็นเล่นใกล้ใกล้

ว่าพลางทางชวนกันเหาะไป สำราญใจรื่นจิตด้วยฤทธิรณ”

ต้นไม้ที่ออกดอกออกผลเป็นมนุษย์เพศหญิงร่างเปลือยเปล่าห้อยอยู่ตามกิ่ง ดึงดูดใจพระโคบุตรและอรุณกุมารยิ่งนัก ด้วยเป็นสิ่งแปลกประหลาดไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อทั้งคู่พากันเหาะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เป็นเรื่อง

“ฝ่ายคนธรรพกับพวกวิชาธร เหาะเร่ร่อนคอยระวังนารีผล

เห็นพี่น้องสองคนในอำพน แต่ละตนเดือดดาลทะยานใจ

ด้วยหวงแหนแค้นเคืองเป็นที่สุด เหม่มนุษย์สองรามาแต่ไหน

แกว่งพระขรรค์หันเหาะระเห็จไป ทะลวงไล่บุกบั่นกระชั้นมา”

(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

บรรดาคนธรรพ์ นักสิทธิ์ และวิทยาธรปกติก็คุมเชิงแย่งชิงนารีผลกันอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นมนุษย์สองคนก็เข้าใจว่าจะมาแย่งด้วย พวกวิทยาธรแค้นใจนัก รีบเหาะไปจัดการทันที พระโคบุตรป้องกันอันตรายให้น้องชาย แล้วต่อสู้กับวิทยาธรเป็นพัลวัน

“พระโคบุตรหยุดถอดเอาแหวนก้อย ให้น้องน้อยใส่นิ้วพระหัตถา

เข้าโจมจับกับพวกวิทยา เสียงศาสตรากริ่งกร่างกลางอัมพร”

ฝีมือพระโคบุตรไม่เป็นรองใคร สามารถชิงอาวุธวิเศษของวิทยาธรมาเล่นงานเจ้าของเสียย่อยยับ ทำให้วิทยาธรที่เหลือร่วมด้วยช่วยกันรุมศัตรู

“ชิงพระขรรค์ฟันฟาดเสียงฉาดฉับ ศีรษะพับตกผางกลางสิงขร

ที่เหลือตายรายรอบเข้าราญรอน วิชาธรล้อมกลุ้มเข้ารุมองค์”

อิทธิฤทธิ์และพละกำลังที่เหนือกว่าทำให้การต่อสู้ระหว่างพระโคบุตรกับวิทยาธรไม่ต่างจากพญานกมีชัยเหนือพญานาค วิทยาธรทั้งหลายที่ตายก็ตายเกลื่อน ที่หนีตายก็รักษาชีวิตไว้ได้

“พระรบรับจับมารแล้วโยนขว้าง เสียงผึงผางถูกเพื่อนเป็นผุยผง

ด้วยกำลังยั่งยืนกลางณรงค์ ดังครุฑยงเหยียบพญาวาสุกรี

วิชาธรอ่อนฤทธิ์ไม่อาจรบ น้อยกำลังหลีกหลบเอาตัวหนี

ที่วอดวายตายกลาดธรณี ที่หลบลี้หลีกลอดก็รอดตาย”

พระโคบุตรมองสภาพน่าอเนจอนาถของวิทยาธร ‘เห็นซากศพวิทยาบรรดาตาย ทั้งกรกายขาดพรัดกระจัดกัน’ รู้สึกสลดใจ จึงกล่าวแก่อรุณกุมารว่าจะชุบชีวิตวิทยาธรเพื่อมิให้เป็นบาปกรรมติดตัวไป

หลังจากฟื้นคืนชีวิต เหล่าวิทยาธรก็ยินดีเป็นข้ารับใช้และขออภัยที่มุ่งร้ายพระโคบุตรและอรุณกุมารเนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าจะมาแย่งนารีผลที่พวกตนหวงแหน

“วิชาธรกรประนมบังคมคัล กระหม่อมฉันพวกข้าวิชาธร

อันพฤกษาต้นนี้นารีผล ออกเป็นคนได้ชมสมสมร

สำหรับชมชั่วประถมพุทธันดร ไปกอดนอนชมเล่นเหมือนเช่นคน

จึงสามารถอาจหาญเพราะแสนหวง กลัวจะช่วงชิงนางนารีผล

พระยกโทษโปรดไว้ไม่วายชนม์ ทั้งร้อยคนจะเป็นข้าพยาบาล”

 

เรื่องราวของ ‘นารีผล มักกะลีผล มัคคลีผล’ หรือเรียกรวมกันว่า ‘มักกะลีนารีผล’ นั้นมีอ้างถึงในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง กล่าวเพียงชื่อก็มี เช่น บทละครในเรื่อง “อุณรุท” สำนวนพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2

ตอนที่วิทยาธรวิรุญเมศ ซึ่งยามปกตินั้น

“หยาบคายร้ายกาจอาจหาญ รุกรานเข่นฆ่าไม่ปราศรัย

ยืนยงด้วยทรงพระขรรค์ชัย ไม่มีใครประจญทนทาน”

แต่ยามนี้มีอารมณ์สุนทรีย์ อยากเปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนบรรยากาศ

“วันนั้นสำราญบานใจ จะไปชมไม้นารีผล

ก็พาวิทยาพลาพล จรดลไปสรงคงคา”

ยังไม่ทันจะได้ชมสมใจ ระหว่างนั้นเกิดสู้รบกับพระอุณรุทจนบาดเจ็บสาหัสจวนเจียนจะสิ้นลม ก็พร่ำรำพันว่า

“โอ้อนิจจาตัวกู เสียแรงรู้พระเวทเรืองศรี

เสียแรงรุ่งฤทธิราวี เสียแรงมีกายสิทธิ์เป็นสังวาล

ควรฤๅมาแพ้แก่มนุษย์ ต้องพิชัยอาวุธสังหาร

ฤทธิ์ตนมนตราไม่เป็นการ อนิจจาวายปราณเสียครั้งนี้”

วิทยาธรวิรุญเมศอาลัยอาวรณ์ความสุขที่เคยมี นับแต่นี้ไม่มีอีกแล้ว

” โอ้ว่าเสียดายพระเมรุมาศ ไกรลาสสัตภัณฑ์คีรีศรี

เสียดายอโนดัตนัที เสียดายนารีผลดวงมาลย์

ทั้งนี้เป็นที่สำราญชม แสนบรมสุขเกษมศานต์

จะแลลับดับชีพดรธารณ์ บรรลัยลาญวันนี้แล้วอกอา”

เนื่องจาก ‘นารีผล’ เป็นที่หมายปองของวิชาธร วิทยาธร หรือพิทยาธร คำอธิษฐานของสุนทรภู่ใน “นิราศพระประธม” ที่ขอครองคู่กับหญิงผู้เป็นที่รักไปทุกภพทุกชาติจึงสัมพันธ์กับเรื่องนี้

“แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์

แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร”

ความหมายคือหากน้องเกิดเป็นต้นไม้ พี่ขอเกิดเป็นนกแนบกิ่งไม้นั้นในป่า ถ้าน้องเกิดเป็นนารีผล พี่ขอเกิดเป็นเจ้าแห่งวิทยาธรเคียงคู่กัน

 

วรรณคดีไทยหลายเรื่องมิได้กล่าวถึงเพียงชื่อของนารีผลเท่านั้น แต่ยังให้รายละเอียดบอกถึงรูปลักษณ์งดงามต้องตา แต่อายุขัยมีจำกัด ดังที่ “กากีคำกลอน” ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เล่าว่าพระยาครุฑทำหน้าที่เป็นไกด์อุ้มนางกากีเหาะเที่ยวชมป่าหิมพานต์ ตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้มหัศจรรย์

“แล้วชี้บอกรุกขชาตินารีผล อันติดต้นเปล่งปลั่งดั่งสาวสวรรค์

แต่ไม่มีวิญญาณ์เจรจากัน วิชาธรคนธรรพ์มาเชยชม

ครั้นเจ็ดวันก็อันตรธานไป แล้วบันดาลเกิดใหม่ได้สู่สม

พลางบอกพลางหยอกสำราญรมย์ แล้วพาบินลอยลมมาสิมพลี”

ยังมีเรื่องราวอีกมากของต้นไม้ที่ออกผลย้อยระย้าเป็นสาวงามอายุสั้น ก่อให้เกิดศึกชิงนางอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างชายกลัดมันทั้งหลาย

ฉบับหน้าอย่าพลาด •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร