ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีมิตรสหายในวงการแพทย์ได้ส่งข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับเทคนิคการรักษาพยาบาลต่างๆ ที่เป็นปัญหาในระบบสาธารณสุขทั่วโลกมาให้
คือเทคโนโลยีแฟนตาซีต่างๆ ที่ยังควรอยู่ในห้องทดลอง หรือไม่มีการพิสูจน์ความคุ้มค่าในการรักษาผู้คนจำนวนมาก ถูกนำมาใช้ในการรักษาพยาบาลคนไข้
ซึ่งด้านหนึ่งเกิดจากการให้ข้อมูลในลักษณะว่า หากใช้การรักษาชนิดนี้แล้วจะมีโอกาสหายมากขึ้น
มีความผิดพลาดน้อยลง หรือผลข้างเคียงต่ำ ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ในระดับห้องทดลอง บางครั้งก็ไม่ได้แย่มาก คือเป็นเทคนิคการรักษาพยาบาลหนึ่งที่ไม่ได้มีความจำเป็น แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้จริง
แต่บางครั้งก็อาจเป็น Pseudo-Sciences วิทยาศาสตร์เก๊ ที่เล่นกับความรู้สึกของคน ในการแสวงหากำไรกับการรักษาพยาบาล
เป็นเงินจากกระเป๋าของประชาชนทั่วไปว่าแย่แล้ว แต่หากยิ่งเป็นเงินส่วนสวัสดิการที่รัฐจัดไว้ให้กับประชาชนโดยทั่วไปก็แย่กว่า เพราะแทนที่จะได้นำส่วนนี้ไปพัฒนาปัญหาเร่งด่วนพื้นฐานของประชาชน แต่กลับต้องหมดไปกับเทคโนโลยีหรือแนวทางการรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็น
ในบทความนี้ผมขออนุญาตเรียบเรียงแนวทางปัญหาเทคนิคการรักษาพยาบาลที่อาจถูกใช้อย่างเกินจริง ในบริบทไทยและต่างประเทศมาเทียบเคียง
ที่จริงการพยายามหาแนวทางการรักษาพยาบาลใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่ควรอยู่ในระดับโรงเรียนแพทย์ การวิจัยทางคลินิก ก่อนที่จะนำสู่การพิสูจน์ว่าใช้จริงได้อย่างคุ้มค่า ก่อนที่คนไข้จะเริ่มใช้
เพราะนอกจากลดผลข้างเคียงของการรักษาแล้ว ยังไม่เป็นการเล่นกับความรู้สึกของผู้ใช้บริการที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงและมีผลการรักษาพยาบาลที่ไม่แตกต่างกันนัก
ตัวอย่างงานวิจัย “การทบทวนอย่างเป็นระบบและการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับประโยชน์ทางคลินิกและความคุ้มค่าของการผ่าตัดผ่านกล้องและการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์สำหรับการผ่าตัดต่อมลูกหมากในผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มต้น” ซึ่งเป็นการวิจัยในสหราชอาณาจักร
ผลการศึกษาพบว่า ถึงแม้ว่าการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์อาจทำให้เกิดความล้มเหลวต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหลายเท่า รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการบำรุงรักษาที่สูง จึงยังไม่คุ้มทุนต่อการบรรจุในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHS)
กรณีนี้จึงจะเห็นได้ว่าแม้ในสหราชอาณาจักรซึ่งมีค่าตอบแทนแพทย์สูงกว่าไทย ก็ยังไม่เสนอแนะให้การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์เป็นสิทธิ์พื้นฐาน เพราะอาจเป็นการลงทุนที่สูงเกินจริง
และควรนำงบประมาณไปใช้กับการรักษาพยาบาลด้านอื่นก่อน จนกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีจะถึงจุดที่สามารถคุมต้นทุนได้
อีกกรณีศึกษาหนึ่ง การบำบัดด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) คือการใช้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยเองเพื่อกระตุ้นการรักษาอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่อ โดยเกล็ดเลือดจะปล่อยสารกระตุ้นการเจริญเติบโตเพื่อฟื้นฟูเนื้อเยื่อ PRP แม้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo Sciences) โดยตรง
แต่มีการถกเถียงถึงประสิทธิผลและหลักฐานที่สนับสนุนยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในสภาวะบางอย่าง เช่น ข้อเข่าเสื่อม การบาดเจ็บของเส้นเอ็น หรือการฟื้นฟูเส้นผม แม้มีการศึกษาที่สนับสนุนการใช้ PRP แต่หลายงานวิจัยยังมีขนาดเล็กหรือมีข้อจำกัด จึงยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอในหลายกรณี
ทั้งนี้ PRP อาจถูกนำมาโฆษณาเกินจริงในบางสถานการณ์ ซึ่งทำให้ดูคล้ายวิทยาศาสตร์เทียม
อย่างไรก็ตาม PRP ยังเป็นการรักษาที่อยู่ในระหว่างการวิจัยเพิ่มเติม
การศึกษาของ J. M. de Vos และคณะ ตีพิมพ์ใน American Journal of Sports Medicine ปี 2013 ทำการทบทวนการใช้ PRP ในการรักษาอาการบาดเจ็บของเอ็น
พบว่าไม่มีผลลัพธ์ที่แน่ชัดว่า PRP ช่วยเร่งการฟื้นฟูหรือการรักษาได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการรักษาอื่นๆ เช่น การบำบัดทางกายภาพหรือการฉีดยาสเตียรอยด์
ผู้เขียนย้ำอีกครั้ง การพยายามหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับการรักษาพยาบาลเป็นสิ่งจำเป็น
แต่ก็มีเส้นบางๆ บนความรู้สึกของคนที่สิ้นหวัง ที่อาจแสวงหาการรักษาใหม่ๆ ที่เชื่อว่าจะทำให้เกิดการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น
มีกลไกหลายอย่างในห้วงเวลาความรู้สึกนี้ บางคนวิ่งตรงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และศาสตร์การรักษาทางเลือก ซึ่งก็เป็นทางออกไม่ว่าทางกาย ทางใจ กับการรักษาพยาบาลที่ถูกต้องและไม่แสวงประโยชน์จากความสิ้นหวังนั้น
การโฆษณาเกินจริงหรือแม้แต่การบรรจุสิทธิ์การรักษาพยาบาลในการรักษาพยาบาลที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง หรือตัวบ่งชี้ถึงความจำเป็นก็อาจนำมาสู่ช่องว่างของการแสวงหาประโยชน์จากการรักษาพยาบาลเหล่านี้ในภาคส่วนทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้
นอกจากนี้ ในทรัพยากรที่มีจำกัด ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนากับ พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร แพทย์อายุรกรรม และตัวแทนสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน ก็ได้ข้อมูลว่ายังมีตัวยาที่มีความจำเป็นต่อการรักษาโรคพื้นฐาน เช่น ยาลดไขมันซึ่งจำเป็นต่อการลดการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดสมองตีบ โรคสาเหตุการตายอันดับหนึ่งและสองของคนไทย
ทั้งนี้ ตามคำแนะนำมาตรฐานโลกมีการใช้สามกลุ่มยาเพื่อลดปริมาณไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ไทยมียาในบัญชีหลักแค่กลุ่มยาเดียว ทำให้คนที่ควบคุมไขมันไม่ดีด้วยยาตัวแรก มีโอกาสเข้าถึงยาตัวที่สองน้อย และแทบเข้าไม่ถึงยาตัวที่สามเลยถ้าไม่ใช้สิทธิ์ข้าราชการ
เช่น ตัวยา Ezetimibe สำหรับกันไม่ให้โรคหัวใจเป็นซ้ำ หลอดเลือดสมอง โรคไตที่คุมไม่ได้ ราคาในบัญชียากลาง เม็ดละ 16 บาท เป็นยาที่สามารถจ่ายได้เลยในกรณีของสิทธิ์ข้าราชการ แต่ในกรณีสิทธิ์อื่นๆ ต้องอาศัยข้อบ่งชี้ เพราะถือเป็นตัวยาที่มีราคาสูง ทั้งๆ ที่เป็นกลุ่มยาที่สามารถลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่า แม้แต่โจทย์เรื่องพื้นฐานก็ยังมีความจำเป็นต้องปรับปรุงอยู่
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึง “ยาลดไขมัน” มันอาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้นพอที่จะลงทุนหรือรัฐบรรจุในนโยบาย เมื่อเทียบกับการฉีดเกล็ดเลือด หรือผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ แต่มันคือความจำเป็นพื้นฐาน
การรักษาพยาบาลเองก็เผชิญกับแฟนตาซีของทุนนิยมเสรีนิยมใหม่เช่นเดียวกัน ในการกำหนดว่า หากเราสามารถจ่ายได้ ย่อมรู้สึกเราสามารถเอาชนะได้ โดยเฉพาะจ่ายหรือเข้าถึงสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมา
แต่แท้จริงแล้วหลักการการรักษาชีวิตของผู้คนผ่านระบบการบริการสาธารณสุขอาจไม่ใช่เรื่องราวที่ซับซ้อน หากแต่เป็นเพียงความเสมอภาคในการเข้าถึง ความครอบคลุมที่เป็นปัจจุบัน
และหัวใจสำคัญคือคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีค่าตอบแทน เวลาพักผ่อน และสภาพการทำงานที่เหมาะสม
อันเป็นอิฐฐานแรกที่เราต้องคอยถมให้เต็มอยู่ตลอดเวลา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022