ทฤษฎีของอริสโตเติล ว่าด้วยโพลิตี้ รัฐ และสัตว์การเมือง

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์www.facebook.com/bintokrit

Agora | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์

วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

www.facebook.com/bintokrit

 

ทฤษฎีของอริสโตเติล

ว่าด้วยโพลิตี้ รัฐ และสัตว์การเมือง

 

หากรัฐบาลทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ กระทำการใดๆ ให้ประชาชนไม่พอใจ ซ้ำยังลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย ผู้คนในรัฐนั้นก็อาจคิดว่าทนไปก่อน อีกไม่นานรัฐบาลก็หมดวาระ และเมื่อถึงวันนั้น อำนาจปกครองก็จะกลับคืนสู่ประชาชน เข้าสู่ช่วงเวลาของการเลือกตั้งเปลี่ยนผ่านอำนาจ หากมีตัวเลือกใหม่ที่ดีกว่า ตัวเลือกนั้นก็อาจเข้ามาปกครองแทนรัฐบาลชุดก่อนได้

อย่างไรก็ตาม ความคิดดังกล่าวเกิดได้แต่ใน “สังคมประชาธิปไตย” เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลมีวาระเพียงชั่วคราว และต้องถามความยินยอมจากประชาชนอยู่เป็นระยะว่ายังให้ความไว้วางใจอยู่เหมือนเดิมหรือไม่

แต่สำหรับ “สังคมเผด็จการ” หรือในระบอบอื่นที่รัฐกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและควบคุมชีวิตประชาชน หากใครทนสภาวะแบบนั้นไม่ไหว วิธีเดียวที่จะพ้นไปจากสภาพนั้นได้ทันทีก็เห็นมีแต่หนีไปอยู่ที่อื่นเท่านั้น

สมมุติว่ามีบางคนสามารถหนีเข้าป่าหาอาหารประทังชีวิตได้ตามลำพัง การหนีไปใช้ชีวิตแบบนั้นจะดีกว่าทนอยู่กับรัฐที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนหรือเปล่า?

ใครหลายคนอาจตอบว่า “ดีกว่า”

ทว่า หากอิงตามแนวคิดของ “อริสโตเติล” คำตอบจะตรงกันข้าม เพราะเขาเชื่อว่า “โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง” (Man is by nature a political animal.) ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในรัฐและมีส่วนร่วมกับกิจการบ้านเมืองเท่านั้นจึงจะบรรลุชีวิตที่ดีที่สุดของมนุษย์คนหนึ่งได้

 

อริสโตเติล (Aristotle, 384-322 BCE) เป็นนักปรัชญากรีกที่ได้รับการกล่าวถึงและอ้างอิงมากที่สุดคนหนึ่งในทางปรัชญาและการเมือง รวมทั้งศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย

แนวคิดสำคัญทางการเมืองของเขาปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ “Politics” ซึ่งแปลว่า “การเมือง” โครงสร้างเนื้อหาภายในแบ่งเป็นบท (book) จำนวนทั้งหมด 9 บท แต่ละบทแยกออกเป็นส่วน (part) หลายส่วน

บทแรกเริ่มต้นอธิบายแนวคิดว่ารัฐเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีความสำคัญอย่างไรกับมนุษย์ โดยอธิบายว่ารัฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการที่มนุษย์จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ไม่ต่างจากสัตว์ประเภทอื่นที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นฝูง

แต่การรวมกลุ่มของมนุษย์แตกต่างจากสัตว์ เพราะมนุษย์มีเหตุผลและมีความสามารถในการพูดจาปราศรัย (speech)

ด้วยศักยภาพเช่นนี้มนุษย์จึงทำได้มากกว่าแค่ส่งเสียงร้องแสดงความรู้สึกเพลิดเพลินหรือเจ็บปวด แต่ยังสามารถสื่อสารเพื่อตัดสินคุณค่าต่างๆ ได้ เช่น ถูก ผิด ดี ชั่ว ความยุติธรรม เป็นต้น

ในทัศนะของอริสโตเติล มนุษย์จะจับคู่กันสร้างครอบครัวตามสัญชาตญาณ แล้วขยายตัวเป็นหมู่บ้านหรือนิคม กระทั่งขยายกลายเป็นรัฐในที่สุด รัฐในแบบที่อริสโตเติลหมายถึงคือ “นคร” หรือ “polis” ในภาษากรีก หมายถึง “ชุมชนทางการเมือง” (political community) ของมนุษย์ ซึ่งสมัยนั้นมีลักษณะแบบ “นครรัฐ” (city-state) ปรัชญาพื้นฐานของอริสโตเติลยืนอยู่บนฐานคิดที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มี “เป้าหมาย” หรือ “จุดประสงค์” (telos) ที่ทำให้สิ่งต่างๆ นั้นเกิดมา และดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทาง นครก็เช่นกัน

นครเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์มาอยู่ด้วยกันเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายร่วมกันบางอย่าง นั่นคือ “ชีวิตที่ดี” หรือ Good Life หรือ Living Well ในภาษาอังกฤษ อันเป็นมากกว่าความสุขสบายทางกาย (Well-being) แต่เป็นการบรรลุถึงความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์เท่าที่จะเป็นได้ สิ่งนี้ปรากฏอยู่ในแนวคิดทางจริยศาสตร์ของอริสโตเติลด้วย เรียกว่า “ยูไดโมเนีย” (eudaimonia) ซึ่งชีวิตที่ดีเกิดขึ้นได้เฉพาะแต่เพียงชีวิตที่อยู่ในนครเท่านั้น

ดังนั้น ต่อให้ใครหนีไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังในป่าได้สำเร็จ แต่ชีวิตแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่า หาใช่ชีวิตที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะเป็นไม่

(ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง “ทำความเข้าใจเรื่องยูไดโมเนียและ Virtue Ethics ของอริสโตเติล” ทางลิงก์ https://www.matichonweekly.com/column/article_754211)

 

เมื่อรัฐเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์สำหรับเจริญเติบโตโดยสมบูรณ์ จึงต้องพิจารณาว่าการเมืองการปกครองแบบใดเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดอันสนับสนุนให้มนุษย์ได้เติมเต็มศักยภาพไปสู่ชีวิตที่ดีที่สุดได้

อริสโตเติลตอบปัญหาเรื่องนี้โดยสำรวจการเมืองและรัฐธรรมนูญของนครรัฐต่างๆ ในเวลานั้น และนำมาสู่ข้อเสนอว่าให้ดูจากจุดมุ่งหมายของผู้ปกครอง (ruler) และลักษณะของรัฐธรรมนูญ (constitution หรือ politeia) ที่ใช้ หากผู้ปกครองใช้อำนาจโดยมุ่งหมายไปที่ “ผลประโยชน์ส่วนรวม” (common good/common interest) การปกครองเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ถูกต้องเหมาะสม

แต่ถ้าหากผู้ปกครองใช้อำนาจนั้นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือกลุ่มของตัวเอง การปกครองเช่นนั้นก็เป็นการปกครองที่แย่และผิดเพี้ยน

อริสโตเติลแยกรูปแบบการปกครองออกตามจำนวนของผู้ปกครองคือ

(1) การปกครองที่มีผู้ปกครองคนเดียว

(2) ผู้ปกครองเป็นคนจำนวนน้อย

และ (3) ผู้ปกครองเป็นคนจำนวนมาก ทำให้สามารถจำแนกรูปแบบการปกครองออกได้เป็น 6 แบบใหญ่ๆ คือแบบที่ถูกต้องเหมาะสม 3 แบบ ได้แก่ ราชาธิปไตย (Monarchy/Kingship/Royalty) อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) และโพลิตี้ (Polity)

ขณะเดียวกันก็มีแบบที่ไม่ดีหรือผิดเพี้ยนอยู่ 3 แบบเช่นกันคือ ทรราช (Tyranny) คณาธิปไตย (Oligarchy) และประชาธิปไตย (Democracy)

ถ้าผู้ปกครองคนเดียวแล้วคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเรียกว่า “ระบอบกษัตริย์”

แต่หากคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวหรือของกลุ่มตนเองก็เรียกว่า “ทรราช”

ถ้าผู้ปกครองเป็นคนจำนวนน้อยแล้วคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเรียกว่า “อภิชนาธิปไตย”

แต่หากคำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะตัวหรือกลุ่มตนเองก็เรียกว่า “คณาธิปไตย”

ถ้าผู้ปกครองเป็นคนจำนวนมากแล้วคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเรียกว่า “โพลิตี้”

แต่ถ้าคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองหรือกลุ่มของตนก็เรียกว่า “ประชาธิปไตย”

อริสโตเติลให้ความหมายของประชาธิปไตยเอาไว้ในทางลบ แม้จะคิดว่าประชาธิปไตยเป็นรูปแบบที่เลวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแบบที่ไม่ดีทั้ง 3 แบบก็ตาม

เขามองว่าทรราชเลวร้ายที่สุด คณาธิปไตยเลวร้ายรองลงมา ประชาธิปไตยอย่างไรเสียก็ยังดีกว่าอีกสองแบบข้างต้น ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงเลวน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความหมายซึ่งเขาได้ขยายความไว้ ก็จะพบว่าประชาธิปไตยในความหมายที่อริสโตเติลใช้ไม่ตรงกับความหมายของประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน

เพราะอริสโตเติลใช้ในความหมายว่า “เป็นการปกครองของคนจน” และเนื่องจากคนจนมักมีจำนวนมากกว่าชนชั้นอื่น ดังนั้น จึงกลายเป็นว่าหมายถึงการปกครองของคนจำนวนมากตามไปด้วย นอกจากนี้ คนจนยังใช้ “เสรีภาพ” เป็นฐานในการอ้างสิทธิในการปกครอง

คำว่าประชาธิปไตยแบบที่อริสโตเติลใช้จึงฉายให้เห็นภาพของกลุ่มคนที่ต้องการเสรีภาพ แม้ว่าพลเมืองที่มีสิทธิในการปกครองของเอเธนส์จะเป็นเสรีชนทุกคนอยู่แล้วก็ตาม

 

ประชาธิปไตยในความหมายปัจจุบันดูจะตรงกับ “โพลิตี้” เสียมากกว่า นั่นคือ “การปกครองตามรัฐธรรมนูญ” (Constitutional Government) ที่มีลักษณะเป็น “รูปแบบผสม” (Mixed Government/Mixed Constitution) ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “คณาธิปไตย” โดยมี “ชนชั้นกลาง” เล่นบทบาทสำคัญในการปกครอง

เพราะอริสโตเติลมองว่าทั้งประชาธิปไตยและคณาธิปไตยนั้นมีแนวโน้มที่จะลำเอียงเข้าข้างผลประโยชน์ของตัวเอง คนรวยกระหายอำนาจและความมั่งคั่ง ส่วนคนจนก็สนใจแต่ปากท้องและความอิสระเสรี

คนชั้นกลางที่ไม่ร่ำรวยและไม่ยากจนจึงดูมีโอกาสมากที่สุดที่จะใช้อำนาจอย่างสมดุล เป็นกลาง คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ลำเอียงเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รวมทั้งยังพร้อมเป็นผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองได้ทั้งนั้น มีโอกาสยึดติดกับอำนาจและตำแหน่งได้น้อยกว่า

โพลิตี้เป็นรูปแบบการปกครองที่ไม่คุ้นหูผู้คนในยุคปัจจุบันเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะความหมายของประชาธิปไตยแบบดั้งเดิมได้เปลี่ยนไป กลายมาเป็นความหมายใกล้เคียงกับโพลิตี้

ทุกวันนี้ไม่มีใครคิดว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองของคนจนอีกแล้ว

หากแต่หมายถึง “การปกครองของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง”

ซึ่งคำจำกัดความนี้ตรงกับนิยามของโพลิตี้มากที่สุดในบรรดาการปกครองทั้ง 6 แบบ

อริสโตเติลคิดว่าโพลิตี้คือรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดซึ่งสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ในทางปฏิบัติ

ดังนั้น หากเกิดรัฐบาลเผด็จการหรือทรราชขึ้น มนุษย์จึงไม่ควรหนีเข้าป่าเข้าพงไปไหน แต่ควรยืนหยัดอยู่ในนครต่อไป แล้วหาหนทางปรับปรุงแก้ไขการปกครองให้เป็นแบบโพลิตี้จะดีกว่า