‘ฉันถูกเนรเทศจากภาษาแม่ของฉัน’ ชุมชนจินตกรรมของกวีมลายูมุสลิม

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
โรงเรียนที่ฮัจญีสุหรงสร้างในปัตตานี วันเปิดมีอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นประธาน

หนังสือใหม่รวม “บทกวีที่ตีพิมพ์บนสรวงสวรรค์ในปีต่อมา” ของกวีซีไรต์ ซะการีย์ยา อมตยา เป็นกวีมลายูมุสลิมคนแรกที่ได้รับการยอมรับจากวงการวรรณกรรมไทยอย่างเป็นทางการ

เชเล่าว่า “ผมเรียนตาดีกาเหมือนเด็กทั่วไปคือ (แต่สมัยผมเราเรียนตาดีกาทุกวัน เสาร์อาทิตย์เต็มวัน ส่วนจันทร์ถึงพฤหัสฯ เราจะเรียนโรงเรียนตาดีกาก่อน 1 วิชา แล้วถึงจะไปโรงเรียนประถมศึกษา) ผมเรียนประถมจบ ก็ไปเรียนมัธยมต้น ในตัวเมืองนราธิวาส มัธยมปลายไปเรียนที่อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (สถานะตอนที่ผมเรียนคือโรงมัธยมต้นและปลายของรัฐ) สรุปคือผมเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด (มัธยมต้นเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา) ไปเรียนอินเดียถึงได้เรียนศาสนาและภาษาอาหรับอย่างจริงจัง”

มองอย่างเผินๆ ความสำเร็จของกวีมยายูมุสลิมกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จของระบบการเรียนภาษาไทยในโรงเรียนของรัฐไทยที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน

ซึ่งผ่านการปฏิบัติที่ยอกย้อนยากลำบากกว่าในภาคอื่นๆ

มีการประดิษฐ์นโยบายการศึกษาเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น

ผ่านการต่อต้านกระทั่งการใช้กำลังทำร้ายครูไทยพุทธและกระทั่งการเผาโรงเรียน

ทำให้ปัญหาการศึกษาไทยในพื้นที่ไม่ใช่เรื่องการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นความต่อเนื่องของการเปลี่ยนผ่านและสร้างรัฐชาติที่เป็นไทยของทางการ

ด้วยเหตุผลหลักแรกเริ่มว่าภาษาไทยคือเครื่องมือในการต่อต้านลัทธิอาณานิคมฝรั่ง และในการสร้างโครงสร้างรัฐที่รวมศูนย์การปกครอง การเรียนและสอนภาษาไทยจึงดำเนินไปในแนวตั้งมากกว่าในแนวนอน

และนโยบายที่สนองต่อความต้องการในแนวตั้งอย่างดีไม่มีอะไรจะทำได้ดีกว่าระบบการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียน

ในระยะยาวการเกิดนโยบายการศึกษาภาคบังคับเป็นอุบายอันดีของยุทธศาสตร์การจัดการควบคุมคนชายขอบไม่ให้ก้าวขึ้นมามีบทบาททางการเมืองได้ เช่นเดียวกันการสร้างคนมีคุณภาพก็เป็นไปอย่างแนวตั้งเช่นเดียวกัน

(เราจึงมีทั้งนักเรียนระดับสูงในโอลิมปิกวิชาการและต่ำในระบบประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) รวมถึงระบบสืบสันดานก็เป็นแนวตั้งเช่นกัน)

หลายปีมานี้เมื่อผมเริ่มการวิจัยค้นคว้าปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้

ผมให้ความสนใจไปที่ปัญหาขัดแย้งเรื่องการศึกษาโรงเรียนไทยเป็นพิเศษ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเรียนหนังสือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น จึงเกิดความสงสัยว่าทำไมคนมลายูมุสลิมถึงต่อต้านการเรียนภาษาไทย

แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์

ผมมารู้ตอนหลังว่าตอนที่ฮัจญีสุหรงยังมีชีวิต ได้ส่งลูกทุกคนไปเรียนในโรงเรียนไทยทั้งสิ้น (โรงเรียนวรคามินอนุสรณ์) ไม่ได้ส่งไปเรียนในปอเนาะแต่ประการใด

ผมแปลกใจเพราะคิดว่าเขาและผู้นำมลายูมุสลิมทั้งหลายคงต้องต่อต้านการเข้าโรงเรียนไทยทั้งนั้น

คุณจตุรนต์ (บอย) เอี่ยมโสภา หลานของฮัจญีสุหรงเล่าให้ฟังว่าตรงกันข้ามเลย ฮัจญีสุหรงมองการศึกษาในโรงเรียนไทยว่าเป็นส่วนประกอบของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภาคใต้

เขาตระหนักถึงบทบาทของภาษาเหมือนดังที่อาจารย์เบ็น แอนเดอร์สัน ได้อรรถาธิบายก่อนนี้ว่าเครื่องมือจำเป็นของการจินตนาการถึงชาติที่เป็นชุมชนของแต่ละคนต้องอาศัยภาษาที่เป็นผลรวมของการเปลี่ยนแปลงในรัฐชาติสมัยใหม่

กรณีของปัตตานีแตกต่างไปจากภูมิภาคอื่นในประเทศ เพราะชุมชนมลายูมีภาษายาวีอักษรอาหรับซึ่งพัฒนาไปในประเทศอาหรับ ในขณะที่ภาษาไทยกลางก็พัฒนาขึ้นเป็นภาษาแห่งรัฐ กลายเป็นภาษาของอำนาจและด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้อำนาจรัฐบาลไม่เสถียร

การใช้ภาษามลายูถูกจินตนาการโดยฝ่ายความมั่นคงว่าเป็นปัจจัยด้านลบต่อความเป็นเอกภาพของรัฐ นโยบายการใช้การศึกษาภาคบังคับก็ถูกนำมาใช้อีกวาระหนึ่งในชุมชนมลายูมุสลิมภาคใต้

ฮัจญีสุหรงและคณะจึงไม่ได้คัดค้านต่อต้านการเรียนโรงเรียนไทย โดยเฉพาะต่อการทำความเข้าใจและต่อรองกับหน่วยงานของรัฐไทยและช่วยเหลือคนมลายูที่มีปัญหากับทางการ

การยึดกุมภาษาไทยเป็นเครื่องมือจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ระยะยาวอนาคตของความเจริญก้าวหน้าทางสังคมต้องอาศัยการศึกษาแบบใหม่

เขาเริ่มสร้างโรงเรียนแบบใหม่ในปัตตานีและร่วมกับคนปาตานีที่ไม่ใช่มุสลิมเช่นพ่อค้าจีนในการตั้งสมาคมสะมางัต (จิตวิญญาณ) ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาปัตตานี หนุนสร้างธุรกิจเอกชนทำอาคารให้เช่าและขาย

ที่น่าสนใจยิ่งคือสมาคมสะมางัตจะส่งคนปัตตานีไปเรียนต่อในต่างประเทศ เมื่อกลับมาให้ทำการพัฒนาสังคมต่อไป

ทุนการศึกษานี้เป็นทุนให้เปล่า หนึ่งในสมาชิกคือขุนเจริญวรวิชช์ (เจริญ สืบแสง) ซึ่งมักนำปัญหาในปัตตานีไปอภิปรายในรัฐสภา

แปลกที่ด้านที่ไม่ใช่กิจกรรมการเมืองของฮัจญีสุหรงไม่เคยถูกพูดถึงเลย มีแต่การเป็นผู้นำในการต่อต้านเรียกร้องจากรัฐบาลไทยเท่านั้นที่ถูกเผยแพร่จนเป็นบาดแผล (ที่ไม่เป็นจริง) ในประวัติศาสตร์ไป

แต่อีกด้านที่ใหญ่และมีบทบาทเชิงบวกคือการร่วมผลักดันชุมชนของคนปาตานีทั้งหมดให้พัฒนาไปอย่างมีสำนึก ไม่ใช่ทำตามคำสั่งของรัฐแต่ถ่ายเดียว

นั่นคือความเป็นมาของประวัติศาสตร์อันยอกย้อนของสัมพันธภาพระหว่างสยามกับปาตานีในระยะเปลี่ยนผ่านของรัฐไทย คือความไม่สมานฉันท์ระหว่างจินตนาการของความเป็นชาติแบบไทยกับมลายู ที่นำไปสู่การสร้างความเชื่อเชิงอุดมการณ์ว่าฝ่ายหลังเป็นคนหัวแข็งและไม่ทันสมัยหากยังติดยึดอยู่กับค่านิยมศาสนาและวัฒนธรรมที่รัฐชาตินิยมไทยวาดภาพว่าล้าหลัง

ชาติของคนมลายูจึงกลายเป็นคู่ขัดแย้งปฏิปักษ์กับชาติของรัฐไทยมาอย่างยาวนาน

 

อีกคำถามที่ผมถามซะการีย์ยาคือเขานอนฝันในภาษาอะไร

นี่เป็นคำถามคลาสสิคที่อาจารย์เบ็น แอนเดอร์สัน ชอบถามพวกนักเรียนต่างชาติที่เขารู้จัก

ซะการีย์ยาตอบว่า “ภาษาในฝันแน่นอนเป็นภาษาที่ผมใช้บ่อยที่สุด ภาษาที่ใช้ในการคิดและถนัดที่สุดคือภาษาไทย / ภาษาไทยกลายเป็นเหมือนภาษาแรกของผมไปแล้วโดยไม่รู้ตัว / คราวหนึ่งช่วงที่ผมกลับไปอยู่บ้านใหม่ๆ แม่ผมเรียก ผมหลับอยู่ ผมอุทานหรือตอบกลับแม่ไปด้วยภาษาไทย แต่ผมตระหนักได้ว่า แม่ไม่รู้ภาษาไทย ผมต้องรีบสวิดช์กลับตอบด้วยภาษามลายู”

ปีที่ซะการีย์ยาได้รับรางวัลซีไรต์ ผมพบเขาและแสดงความยินดีอย่างยิ่งพร้อมกับฝากคำถามให้เขาด้วยว่า เมื่อคุณกลับไปทำงานยังบ้านเกิดมาตุภูมิคิดว่าจะพบปัญหาอะไรบ้างไหม เพราะภารกิจของเขาคือการเป็นนักเขียน กวี บรรณาธิการในภาษาไทย เขามีความสามารถในการสื่อสาร 4 ภาษา ทั้งมลายู ไทย อังกฤษ และอาหรับ

ซะการีย์ยา อมตยา ถางเส้นทางเขาด้วยการเขียนบทกวีเป็นกลอนเปล่า เพื่อถักทอความต้านตึงในความคิดไม่ให้ตกอยู่ในห้องขังของภาษา แต่ให้มันโลดแล่นไปบนจินตนาการอิสระและแน่นอนความเป็นมลายูของเขา

เจอกันล่าสุดเมื่อวันเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ “บทกวีที่ตีพิมพ์บนสรวงสวรรค์ในปีต่อมา” เชตอบว่าได้เตรียมคำตอบที่ผมถามมาหลายปีแล้วให้แก่ผม เขาจบคำตอบอันมั่นใจและดวงตามีประกายของความหวัง ด้วยการอ่านบทกวี “เนรเทศ” ให้ฟัง

 

เนรเทศ…

ฉันเขียนบทกวี
ฉันถูกเนรเทศจากภาษาแม่ของฉัน
ลิ้นที่ฉันออกเสียง
ปากที่ฉันพูด
หูที่ฉันได้ยิน
สมองที่ฉันคิด
ผจญภัยในดินแดนใหม่ทางภูมิศาสตร์ภาษา
กองประวัติศาสตร์ถ้อยคำที่ฉันมิได้เป็นผู้สร้าง
ถมทับในความรู้สึกไร้เดียงสา ไร้สำนึก
ความกล้าที่จะเผชิญชะตากรรมและสำรวจตรวจสอบ
เพียงความท้าทายระหว่างทางดุ่มเดินสู่เป้าหมาย
การถูกเนรเทศที่ไม่มีวันกลับคืนมาตุภูมิ
เป็นความสาหัสเกาะติดจิตวิญญาณฉัน
บาดแผลฉกรรจ์ ไม่มีศัลยแพทย์ใดผ่าตัดได้
จะทิ้งร่องรอยเหมือนรอยสักของชนเผ่า
เพื่อเตือนให้ฉันระลึกเสมอว่า
ฉันถูกเนรเทศจากภาษาแม่ของฉัน