ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
จะแจกเงินแบบถาวร แบบไหนดี?
Negative Income Tax (NIT)
หรือ Universal Basic Income (UBI)
รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร บอกว่ากำลังศึกษา “ความเป็นไปได้” ของการปฏิรูประบบภาษีไปสู่แบบ Negative Income Tax ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับ “เงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได” ตามเกณฑ์ที่กำหนด
แม้ว่าคำนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ แต่ NIT เป็นระบบที่มีการกล่าวถึงเป็นระยะๆ มาแล้ว
นัยว่าเพื่อจะให้คนรายได้น้อยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการเข้าสู่ระบบภาษี
การระบุในนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่ากำลัง “ศึกษาความเป็นไปได้” แสดงว่ายังไม่ได้ทำการบ้านมามากพอที่จะนำเข้าสู่การ “ปฏิรูป” ระบบภาษีของรัฐบาลใหม่
และ NIT ก็ไม่ใช่เพียงมาตรการช่วยเหลือประชาชนให้มีรายได้ระดับที่ “พอประทังชีวิตขั้นพื้นฐาน” ได้
เพราะยังมีระบบ Universal Basic Income (UBI) หรือ “เบี้ยยังชีพถ้วนหน้า” ที่เป็นที่กล่าวขวัญกันในหลายๆ ประเทศ
รัฐบาลไทยอาจจะยังต้องศึกษาวิเคราะห์สองแนวทางนี้ให้รอบด้านเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจน
และลด “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างคนรวยกับคนจนที่ยิ่งวันจะยิ่งมีอาการหนักขึ้นทุกที
พูดภาษาชาวบ้าน ทั้งสองแนวคิดก็คือการเติมเงินเข้ากระเป๋าผู้มีรายได้น้อย
แต่ด้วยหลักคิด, แนวทางปฏิบัติและข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันในหลายๆ มิติ
Negative Income Tax หรือ NIT ที่รัฐบาลนี้อ้างถึงมาจากนักเศรษฐศาสตร์คนดัง มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) ในทศวรรษ 1960
ภายใต้ระบบนี้ ใครมีรายได้ต่ำกว่าระดับที่กำหนด นอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีแล้ว ก็ยังจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วย
โดยจะกำหนดเงินที่รัฐจ่ายให้นั้นจะค่อยๆ ลดลงเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น
เป้าหมายคือเพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้คนจะไม่ขี้เกียจ คอยแบมือขอเงินช่วยเหลือจากรัฐ
ซึ่งก็มาจากภาษีประชาชนนั่นเอง
ภายใต้ระบบ NIT ทุกคน ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามปกติ
โดยระบุว่าใครมีรายได้น้อยกว่าระดับที่กำหนดจะได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อเติมให้เข้าใกล้ระดับนั้น
ตัวอย่างเช่น หากกำหนดระดับไว้ที่ 10,000 บาทต่อเดือน คนที่มีรายได้ 7,000 บาทก็จะได้รับชดเชย 3,000 บาท
ส่วน Universal Basic Income หรือ UBI
กำหนดเงินแจกให้ราษฎรทุกคนเป็นจำนวนเท่ากันโดยไม่มีเงื่อนไข
ไม่ว่าจะมีรายได้ สถานะการจ้างงาน หรือทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างไร
ทุกคนจะได้รับ “รายได้พื้นฐานทั่วหน้า” เท่ากัน
UBI ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะเป็น “ตาข่ายความมั่นคงของสังคม” (social safety net) ทางการเงินในโลกที่กำลังถูกคุกคามโดยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ซึ่งอาจลดโอกาสในการทำงานแบบดั้งเดิม หรือไม่ก็ตกงาน เพราะธุรกิจเก่าล้ม ธุรกิจใหม่ก็ไม่สามารถมาแทนที่ได้
ผู้สนับสนุน UBI เชื่อว่าการแจกเงินสวัสดิการให้ทุกคนเช่นนี้จะช่วยให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้ ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ หรือประกอบธุรกิจได้
โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่มั่นคงทางการเงิน
แต่ก็ต้องระวังไม่แจกเป็นเงินก้อนใหญ่จนทำให้ไม่ต้องคิดทำมาหากินอีก
เพราะมันก็คือเงินภาษีประชาชนอีกเหมือนกัน
ถามว่า NIT กับ UBI มีเปรียบเทียบกันอย่างไรข้อดีข้อเสียอย่างไร?
ในแง่การลดความยากจน
NIT น่าจะสามารถมุ่งเป้าไปที่การลดความยากจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
เพราะระบบนี้เป็นการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับที่กำหนดเท่านั้น
ไม่ใช่การเหวี่ยงแหเหมือน UBI
นั่นแปลว่าเงินภาษีประชาชนถูกจัดสรรไปยังผู้ที่มีความต้องการตรงเป้ากว่า
และการที่รัฐสามารถค่อยๆ ลดการจ่ายเงินตามอัตราของรายได้เพิ่มขึ้นทำให้ไม่เกิดกรณีที่ใครจะสูญเสียสวัสดิการทันทีเมื่อรายได้สูงขึ้น
เป็นมาตรการประคับประคองทั้งในแง่ของรัฐและผู้มีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์
คนเชียร์ UBI อ้างว่าระบบนี้สามารถลดความยากจนได้แบบฉับพลันทันทีเพราะทุกคนได้รับเงินก้อนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข
เป็นการรับประกันว่าทุกคนจะมีรายได้ขั้นต่ำที่มั่นคงไม่ว่าจะมีสถานะทางการเงินอย่างไร
ว่ากันว่าวิธีนี้จะได้ผลในกรณีที่มีประเทศใดประชาชนจำนวนมากอยู่ใกล้กับเส้นความยากจน
สําหรับรัฐบาล มีประเด็นเรื่องความง่ายและยากของการบริหารสองระบบ
หากใช้ NIT อย่างที่รัฐบาลแพทองธารสนใจ ก็ต้องมีระบบติดตามรายได้ของพลเมืองเพื่อกำหนดว่าใครมีสิทธิ์ได้เงินชดเชยเท่าไหร่
เป้าหมายของรัฐในการใช้วิธีนี้คือการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาในระบบภาษี
ดังนั้น จึงอยู่ที่การสื่อสารกับประชาชนโดยเฉพาะภาคส่วนที่ยังไม่แน่ใจว่าการเข้าระบบภาษีจะทำให้ตนมีภาระมากขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่จะติดตามได้ง่ายขึ้นหรือไม่
อยู่ที่รัฐจะเสนอให้เงินชดเชยส่วนที่ขาดมากพอที่จะชักจูงให้คนในกลุ่มยากจนให้ความสนใจเพียงพอหรือไม่เพียงใด
การบริหาร UBI จะเรียบง่ายกว่า
เพราะไม่มีอะไรซับซ้อน ทุกคนได้รับเงินจำนวนเท่ากันโดยไม่มีเงื่อนไข
จึงไม่จำเป็นต้องติดตามรายได้หรือทำการทดสอบสิทธิ์
อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับระบบสวัสดิการที่มีอยู่
หากสามารถตัดกระบวนการทางราชการที่ซับซ้อนออกไปได้ก็จะทำให้การดำเนินการ UBI มีความสะดวกและประหยัดมากขึ้น
คําถามใหญ่ก็คือว่า สองระบบนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ทำงานแค่ไหน
หรือจะกลายเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนหยุดทำงาน หันมารอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว
ถามแบบชาวบ้านคือระหว่างสองระบบนี้ อันไหนทำให้คนขี้เกียจและกระตือรือร้นมากกว่ากัน?
หากออกแบบมาดี NIT จะยังคงแรงจูงใจในการทำงานไว้ได้
เพราะระบบนี้จะรับประกันว่าทุกคนจะมีรายได้จากการทำงานมากกว่าไม่ทำงานเสมอ
เพราะระบบนี้จะค่อยๆ ลดการที่รัฐต้องจ่ายเงินให้เมื่อรายได้ของคนๆ นั้นขยับขึ้น
วิธีนี้ย่อมทำให้การปรับเปลี่ยนค่อนข้างราบรื่น
และไม่ทำให้ผู้คนสูญเสียสิทธิ์สวัสดิการอย่างฉับพลันทันที
UBI ก็อาจส่งเสริมให้คนอยากทำงานได้เช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
เมื่อทุกคนได้เงินแจกจากรัฐในจำนวนเท่ากัน ก็จะมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง (แต่ต้องไม่มากจนไม่ต้องทำงานเลย)
เมื่อมีเงินจากรัฐที่พอจะประทังชีวิตไปได้ในระดับหนึ่ง ก็จะทำให้คนคนนั้นเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นในการตัดสินใจทำอะไรที่อาจจะต้องรับความเสี่ยง
เช่น ศึกษาต่อ หาคอร์สเรียนเพื่อเสริมทักษะหรือแสวงหาทักษะใหม่
หรืออาจจะตัดสินใจเป็นผู้ประกอบการเอง หรือไม่ก็เริ่มมีสมาธิและความนิ่งพอที่จะเข้าสู่กิจกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรม
ในแง่นี้ UBI อาจกระตุ้นให้เกิดการสร้างผู้ประกอบการมากขึ้น เพราะเมื่อมีรายได้พื้นฐานแล้วก็จะทำให้ลดความกลัวเรื่องความไม่มั่นคงทางการเงิน
แล้วสองระบบนี้ตอบโจทย์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน?
NIT มุ่งเน้นไปที่การลดความยากจน ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องการจัดการบริหารว่าด้วยชีวิตของผู้คนในกรณีที่ถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี
แม้ว่า NIT จะสร้างความมั่นคงทางการเงินในกรณีที่ตกงาน แต่ไม่ได้ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการหางานใหม่เท่ากับ UBI
UBI มีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว
นั่นแปลว่าเทคโนโลยีอาจแทนที่การทำงานแบบดั้งเดิมได้ ด้วยการรับประกันรายได้พื้นฐาน
UBI ช่วยให้บุคคลสามารถเปลี่ยนอาชีพหรือพัฒนาทักษะใหม่ได้ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง
แต่ทั้งหมดนี้จะทำได้ต้องมีเงิน…
รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน?
สัปดาห์หน้าต้องว่าต่อครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022