ยูนุดลูก (ชาย) บุกคอรี | ฮีม พาราพิพัฒน์ : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

ยูนุดลูก (ชาย) บุกคอรี | ฮีม พาราพิพัฒน์

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

 

ดอกหญ้าในพงรกพัดโบกเบาๆ ยามต้องลมฤดูร้อน รถกระบะสีขาวสี่ประตูจอดนิ่งอยู่ริมถนนมาสักพักใหญ่ ใต้ร่มของต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกเรียงยาวตามริมขอบทางเดินฟุตปาธ ช่อดอกสีเหลืองกำลังบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ บุกคอรีซึ่งนั่งอยู่ในรถฝั่งคนขับ มือกำพวงมาลัยรถที่ดับเครื่องยนต์แล้วเอาไว้แน่น ใบหน้าของชายอายุห้าสิบเศษไว้เครายาวตามแบบอย่างท่านศาสดา รอยบนหน้าผากคล้ำๆ บ่งบอกได้อย่างดีว่าเป็นคนรักษาละหมาดอยู่ไม่ขาด นัยน์ตาเหม่อของเขาจ้องมองช่อดอกราชพฤกษ์ยามต้องลมระริก เรื่องราวมากมายยังไม่ตกผลึกในห้วงความคิด ชีวิต ศาสนา เสรีภาพ ศรัทธา ทุกอย่างคล้ายวกวน พัวพัน และย้อนแย้ง

อุดมการณ์ซึ่งฝังลึกเป็นรากเหง้า กลับกลายเป็นความจริงที่ต้องเลือก นัยน์ตาของเด็กชายตัวน้อยไร้เดียงสาเมื่อคราวนั้น กับลูกชายคนเดียวของเขาในตอนนี้ เสียงหายใจแรงของบุกคอรีหนักหน่วง ริมฝีปากระริก นัยน์ตาพร่ามัว มีน้ำแฉะขังอยู่ในนั้น แต่ไม่ยอมเอ่อไหลออกมา

“บัง ลงรถเถอะ” อาอีฉ๊ะ เมียของเขาที่อยู่ชุดฮิญาบคลุมปิดหน้ามิดชิด สะกิดบอก

ตามหลักการศาสนา พระเจ้าสร้างมนุษย์มาแค่สองเพศ โชคชะตาถูกกำหนดลงมาเพื่อทดสอบกับคนทุกคน แล้วก็ใช่ กับทางเดินที่ต้องเลือก จะผิดหรือถูก นรกหรือสวรรค์ คนเรามีสิทธิ์ลิขิตชีวิตของตนเอง ริมฝีปากที่ยังสั่นของบุกคอรีเหมือนจะฝืนพูดบางประโยคออกมา แต่แผ่วเบาจนไร้สุ้มเสียง เขาปล่อยมือจากพวงมาลัยที่กุมอยู่ เอนหลังไปพิงกับเบาะที่นั่งคนขับ “เธอลงก็ลงไปเถอะ ฉันรออยู่ในรถแล้วกัน” เสียงพูดเขาตะกุกตะกัก และนัยน์ตาก็ยังเหม่อๆ อยู่เหมือนเดิม

“อุตส่าห์มากันถึงนี่แล้วนะบัง ไอ้ยูนุดมันจะเป็นยังไง ชั่วดียังไง มันก็ยังเป็นลูกเรานะบัง บังจะโกรธจะเกลียดมันไปก็เท่านั้น ลงไปคุย ไปทักทายกับมันสักคำเถอะ”

“ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดมันหรอก แต่ฉันก็ไม่อาจรับได้ในสิ่งที่มันทำ” นัยน์ตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า พลางรู้สึกว่าบรรยากาศนอกรถของบ่ายวันนี้ช่างเคว้งคว้างสิ้นดี

 

อาอีฉ๊ะผู้อยู่ในชุดฮิญาบสีดำ ทีแรกก็นึกบางคำพูดออกมาจะเกลี้ยกล่อมสามีต่อ แต่พอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้โพล่งพูดออกไป เธอเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถมา เดินย้อนกลับไปตามทางเดินเล็กน้อยจากตรงรถจอด ข้ามฟากถนนไปอีกฝั่ง ยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างออกไปไม่ได้ไกลนัก

เศษดอกราชพฤกษ์สีเหลืองแห้งเหี่ยวร่วงหล่นเรี่ยราดอยู่ตามพื้นขอบถนน ถัดเข้าไปจากริมทาง เศษเปลือกขนมตรงพุ่มหญ้ารก ขวดพลาสติกที่คนมักง่ายทิ้งเอาไว้ดูเกลื่อนกลาด ในซอยเล็กๆ แห่งนี้ดูเงียบเหงาอยู่พอสมควร บนถนนที่รถจอดนิ่งอยู่นานหลายนาที แต่แทบไม่มีรถวิ่งผ่านไปมาสักเท่าไหร่ บ้านที่ปลูกอยู่ในซอยก็ดูห่างๆ มีแค่ไม่กี่หลัง

บุกคอรีมีอาชีพเป็นครูสอนศาสนา เมื่อเกือบสามสิบปีก่อนเขาเรียนจบมาโดยตรงจากต่างประเทศทางแถบอาหรับ พอกลับมาไทย ก็ได้งานเป็นครูสอนประจำอยู่ในโรงเรียนปอเนาะอย่างไม่ยากเย็นนัก เขาอาจจะไม่ถึงกับเป็นนักวิชาการใหญ่ระดับประเทศ แต่ก็พอมีความรู้อยู่พอตัว หลายครั้งเขาได้รับโอกาสไปบรรยายอยู่บนเวทีตามงานต่างๆ และก็มีอยู่หลายครั้งที่เขาต้องพูดถึงปัญหาศาสนาร่วมสมัย อย่างประเด็นการรักร่วมเพศที่กำลังกลายเป็นข้อขัดแย้งในยุคสังคมมุสลิมปัจจุบัน ด้วยสายตาของต่างศาสนิกชนที่มองว่าอิสลามนั้นล้าหลัง นี่คือหนึ่งในหัวข้อที่เขาหยิบยกมาพูด และก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนกรานอย่างหนักแน่น ว่าการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งน่ารังเกียจและต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในอิสลาม

บุกคอรีไม่เคยรู้มาก่อนถึงเรื่องลูกชาย อาจพอมีสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเลยเถิดจนถึงขนาดนี้ ประเด็นเรื่องราวในวันนั้นที่เขาเคยขึ้นบรรยายบนเวที ต่อต้านอย่างเสียงแข็งกับคนนับร้อยนับพัน กลับกลายมาเจอเข้ากับตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนสมัยลูกชายของเขายังเรียนอยู่มัธยม นั่นก็คือโรงเรียนปอเนาะที่เขาสอน ก็เห็นมันยังชอบเตะบอลเล่นกีฬา ไม่ได้แสดงท่าทีตุ้งติ้งว่าจะกลายเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยแม้แต่น้อย

หรือตอนมันออกไปเช่าหอพักเรียนอยู่มหา’ลัย นานๆ ครั้ง ปิดเทอมทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักหน เขาก็ไม่ได้ระแคะระคาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันปิดบังเขานานขนาดนั้นได้ยังไง

 

ปีนี้ลูกชายของเขาอายุยี่สิบห้าพอดี เมื่อก่อนตอนมันเพิ่งเรียนจบมหา’ลัย เขายังคิดจะไปสู่ขอเมียให้มันอยู่เลย ให้หลังมา พอลูกชายได้งานทำ เช่าบ้านอยู่ในตัวเมืองก็แทบจะไม่เคยกลับบ้าน ใช่ ไอ้ยูนุดมันเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เขาคงไม่เถียงหรอก ว่ามันก็มีสิทธิ์ในชีวิตของมัน กฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกปลดล็อกอย่างเป็นทางการ ค่านิยมของคนรักเพศเดียวกันถูกเปิดกว้างจนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม เขาเพิ่งมารู้ความจริงเอาเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง ว่าลูกชายของเขามันชอบผู้ชาย แถมยังจดทะเบียนสมรสอยู่กินแบบผัวๆ กับแฟนคนรักของมันมาตั้งแต่เรียนจบ เมียของเขา อาอีฉ๊ะเองก็เหมือนจะล่วงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนหน้า แต่ปิดบังความจริงกับเขามาตลอด มันยิ่งทำให้เขาแน่นจุกในอกจนแทบกระอัก นรก สวรรค์ ความเชื่อยุ่งเหยิงอยู่ในหัว เส้นขีดแบ่งระหว่างความรักกับความถูกต้อง ทุกอย่างผูกติดเป็นพันธนาการ

เขาโทร.ไปคุยกับลูกชายผ่านโทรศัพท์ ใช่ ก็ขึ้นเสียงทะเลาะกันยกใหญ่ ไอ้ยูนุดยังมีหน้ามาบอก ว่ามันก็ใช่ว่าจะปิดบังอะไร แค่ไม่ได้บอกออกไปก็เท่านั้น ลูกชายของเขาอ้างถึงความเท่าเทียมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ความรักอันแสนบริสุทธิ์และความรู้สึกของหัวใจที่ไม่อาจฝืน แต่ในทางกลับกัน เขาก็ยืนกรานในหลักความเชื่อ ถึงยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่บทบัญญัติไม่อาจเปลี่ยนได้ เรื่องต้องห้ามพรรค์นี้ยังไงมันก็เป็นสิ่งสกปรกโสโครก การรักเพศเดียวกันยังไงก็เป็นเรื่องผิดหลักการศาสนาอยู่วันยังค่ำ ท่านศาสดาได้สาปแช่งผู้ชายที่เลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่เลียนแบบผู้ชาย เขาบอกกับลูกชายออกไปด้วยเสียงอันแข็งกร้าว

ทุกศาสนาแค่สอนให้คนเป็นคนดี ความรู้สึกมันไม่ใช่สิ่งที่จะแกล้งรู้สึกกันได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้ากำหนดให้ผมเป็นอย่างนี้ ผมก็ควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ผมเป็น… ลูกชายของเขาที่เรียนจบกฎหมายมาโดยตรงเถียงจอดๆ อย่างไม่ลดราวาศอก ยกเหตุผลขึ้นมาอ้างอย่างต่างๆ นานา สุดท้ายการทะเลาะกันผ่านทางโทรศัพท์วันนั้นก็แทบจะตัดพ่อตัดลูกกันเลย

แล้วนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้คุยกับลูกชาย เพราะหลังจากนั้นมา ยูนุดก็ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาเหยียบที่บ้านอีก จนถึงวันนี้ ที่เขากับเมียขับรถผ่านเข้ามาทำธุระในเมือง แล้วเมียของเขาก็เลยนึกอยากจะแวะทักทายลูกชาย

 

ในห้องที่คล้ายจะเป็นห้องรับแขกไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก อาอีฉ๊ะนั่งลงบนชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ “แล้วนี่…” เธอเว้นจังหวะเสียงพูดเอาไว้ เพื่อหมายถึงใครบางคนที่ไม่อยากเอ่ยชื่อ “ไม่อยู่เหรอ” พลางหันคอมองโดยรอบ

ลูกชายของเธอส่ายหน้า ประโยคพูดสนทนาระหว่างสองแม่ลูกอึมครึมและห่างเหิน แม้จะอยู่ใกล้กันในห้องเล็กๆ แก้วน้ำเย็นที่เพิ่งยกมาวาง หยดไอน้ำข้างแก้วไหลหยาดลงมาอย่างเอื่อยๆ ในขณะนั้นยูนุดลูกชายของเธอยืนพิงอยู่กับขอบบานหน้าต่าง บ่ายของวันนี้แดดแรงกว่าที่เคย ลมพัดแรงกว่าที่เคย สายตาเขาพลางแลออกไปผ่านลวดเหล็กดัดบานหน้าต่าง กิ่งของต้นราชพฤกษ์ริมถนนกำลังไหวติงจากแรงลมที่พัด รถกระบะคันสีขาวยังจอดนิ่งอยู่อีกฟากถนน

“ที่ป๊ะไม่ลงมาจากรถ คงขยะแขยงผมมากสินะ สัตว์ประหลาดนั้นเหรอ ก็ทุกสิ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาทั้งนั้นไม่ใช่เหรอมะ ผมก็ใช่ว่าจะแกล้งอยากเป็นกับที่เป็นอยู่สักหน่อย…” ยูนุดพลางตัดพ้อออกมาด้วยอารมณ์ขื่นขม น้ำตาคลอหน่วยไหลปาดมาตามแก้ม สายตายังจ้องแลออกไปด้านนอก ดอกพลับพลึงสีขาวที่เขากับแฟนช่วยกันปลูกตรงหน้าบ้านยังเบ่งบานอยู่ท่ามกลางเปลวแดด

“แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้าง” อาอีฉ๊ะแกล้งเอ่ยเปลี่ยนเรื่องคุย

“เรื่อยๆ แหละมะ ไม่ได้แย่หรอก แต่ก็ไม่ได้ดี”

“กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างสิ ถ้าไม่อยากเจอป๊ะ ก็ถือว่ากลับไปหามะบ้าง ป๊ะแกก็ใช่จะว่าอะไรหรอก เป็นพ่อเป็นลูกกันยังไงก็ตัดกันไม่ขาด แต่สมมุติ แค่สมมุตินะ ถ้าแกยังตะขิดตะขวงใจอยู่ ไม่อยากเจอป๊ะจริงๆ โทร.มาก่อนก็ได้”

 

ท่ามกลางความเวิ้งว้างในสายตายูนุด ก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น ภาพจำตรงระเบียงด้านหน้าของบ้านหลังนั้น ตั้งแต่เล็กจนโต ยังตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงไม่เคยจางหาย นั่นก็เลยพลางทำให้อดีตครั้งวันวานผุดขึ้นมาในหัวอย่างเป็นฉากเป็นตอน ป๊ะเป็นหนึ่งในครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนปอเนาะที่เขาเคยเรียน ความเชื่อ แรงศรัทธาถูกปลูกฝังถ่ายทอดมายังเขาตั้งแต่ยังเด็กทั้งที่บ้านและโรงเรียน แต่อนาคตเป็นสิ่งเลือนรางเสมอ สิ่งอยู่เบื้องหน้าใครจะไปรู้ล่ะ ว่าอะไรจะเกิด ความรู้สึกมันห้ามกันได้ด้วยเหรอ สิ่งที่เป็น ก็ใช่ว่าเขาแกล้งอยากจะเป็น ก็เพราะนี่คือตัวตนที่เขาเป็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า แล้วอะไรคือสวรรค์ อะไรคือนรก เส้นขีดแบ่งขั้วระหว่างความชั่ว ความเลว และความดี มันอยู่ตรงไหนกันแน่

หัวใจที่คิดจะรัก ความรู้สึกที่คิดจะชอบ มันก็ควรเป็นสิทธิของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งพึงมี แค่เขาเพิ่งมารู้จักตัวเองว่าเขาชอบผู้ชาย มันผิดมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ ท้องฟ้ายามบ่ายช่างเวิ้งว้าง ก้อนเมฆบนฟากฟ้าเบาหวิวกว่าที่เคย โลกสมัยใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้ว อิสระเสรีบนแผ่นดินประชาธิปไตยไม่ได้มีการปิดกั้นกันเหมือนเมื่อก่อน ยูนุดได้พบกับชายคนรักตอนเรียนอยู่มหา’ลัยปีสาม ค่านิยมความเชื่อของโลกปัจจุบัน พระเอก คู่จิ้น ซีรีส์วายในจอทีวี กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งออกมา เขาไม่เห็นต้องปิดบังตัวตนอะไรทั้งนั้น

ศาสนามันคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ตัวตนก็คือจิตวิญญาณ เขายังเชื่อมั่นอย่างสุดใจ ว่าจิตวิญญาณของเขายังงดงาม “ผมยังศรัทธาในพระเจ้าอยู่นะมะ ศรัทธาอยู่เสมอ” เขาเอ่ยพูดออกมาท่ามกลางบรรยากาศในห้องอึมครึม

ชั่วอึดใจที่กอดลากับลูกชาย มันช่างยาวนานในความรู้สึกอาอีฉ๊ะ ถึงแม้ว่าลูกชายจะอยู่ในอ้อมแขนตรงหน้า แต่มันช่างห่างเหินราวกับเรือที่กางใบแล่นออกไปสู่ทะเลเปิด อ้อมกอดไร้ความอบอุ่น เหมือนเธอยืนอยู่เดียวดายในความเวิ้งว้างกลางทะเลมืดยามค่ำคืน กลิ่นน้ำหอมของลูกชายที่เธอไม่คุ้นเคย แวบหนึ่งก็เผลอคิด ว่านี่อาจไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธออีกแล้ว

แล้วอาอีฉ๊ะก็เดินออกจากห้องนั้นมา…

“บังนะบัง น่าจะลงไปคุยกับลูกมันสักหน่อย” อาอีฉ๊ะเปิดประตูรถที่จอดรออยู่ หย่อนตัวเข้าไปนั่งด้านใน พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “โกรธเกลียดกันไปถึงไหน ใจคอบังจะตัดพ่อตัดลูกกันเลยหรือไง”

 

ดอกหญ้าริมทางเอนลู่ไปกับลมฤดูร้อน ในความเรียบง่ายและธรรมดาของดอกหญ้า บางครั้งบุกคอรีก็รู้สึกว่ามันดูสวยดีเหมือนกัน บางคำถามบางทีก็ไม่ต้องการคำตอบ มีเพียงแต่นัยน์ตาว่างเปล่าของบุกคอรีที่ซ่อนความปวดร้าวเอาไว้ในนั้น “เสรีภาพของประเทศนี้มันเดินมาไกลแล้ว ไกลจนบางทีฉันเองก็เดินตามไม่ทัน ฉันไม่ได้คิดจะไปขวางมันหรอก มันมีสิทธิ์เลือกในทางที่มันเลือก แต่ยังไงฉันก็ไม่อาจยอมรับได้ ไม่อาจเห็นดีเห็นงามกับมันได้ ว่าสิ่งที่มันทำ เป็นสิ่งถูก”

เมื่อเขาหมุนกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์ ก็พลันเหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง ตอนนั้นเองเขาเห็นเงาของลูกชายที่ออกมายืนเหม่ออยู่ใกล้ประตูรั้วบ้านอีกฟากถนน ริมฝีปากเขากลับมาสั่นระริกขึ้นอีกครั้ง มือจับพวงมาลัยรถอยู่ก็สั่นตาม เสียงท่วงทำนองของอัลกุรอ่าน ที่เขาอ่านเป็นประจำในตอนรุ่งสาง จู่ๆ มันก็วกมาดังก้องอยู่ในหัว

“ลงไปคุยกับมันสักคำเถอะ นะบัง” อาอีฉ๊ะยื่นมือมากุมมือสั่นสั่นของเขาที่จับพวงมาลัยรถอยู่ พลางอ้อนวอนเขาอีกครั้ง

เขาเลยเปิดประตูเดินลงจากรถมาด้วยความคิดอันสับสน เสียงสวดอัลกุรอ่าน เสียงรำลึกถึงพระเจ้า ยังดังก้องปนเปอยู่ในหู สายลมยังพัด ดอกหญ้ายังไหวเอน เศษพลาสติกเปลือกขนมยังเกลื่อนกลาด เขาสาวเท้าข้ามฟากถนนไปยืนประจันหน้ากับลูกชาย ทั้งคู่โผตัวเข้ากอดกันในทันที พลางกับน้ำตาที่พรั่งพรู ดอกราชพฤกษ์สีเหลืองบานสะพรั่งไปตลอดแนวของสองข้างทาง

“ผมยังเป็นลูกป๊ะอยู่ใช่ไหม” ยูนุดเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อผละตัวออกมาจากอ้อมกอด สบตากับชายผู้เป็นพ่อ

เข็มนาฬิกายังคงเดิน ภาพในวัยเด็กของลูกชายคนเดิมที่บุกคอรีไม่เคยลืม แต่วันเวลาไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว บุกคอรีพยายามฝืนยิ้มฝืดๆ บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา “ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ตั้งแต่วันที่มึงเกิดมา จนถึงวันที่มึงตาย หรือต่อให้มึงตายไปแล้วก็เถอะ ไม่ว่าโลกนี้หรือโลกหน้า มึงจำไว้นะ ว่ามึงจะยังเป็นลูกป๊ะเสมอ”

“ผมยังละหมาดอยู่นะป๊ะ ผมยังถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ผมยังอ่านคำภีร์อัลกุรอ่าน”

บุกคอรีส่ายหน้าช้าๆ “ป๊ะจะไม่ตัดสินมึงหรอก ป๊ะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครทั้งนั้น หลักการศาสนามันไม่ใช่หลักประชาธิปไตยอย่างที่มึงเข้าใจ หรืออย่างที่มึงพยายามอ้างกับป๊ะเมื่อวันก่อน มันไม่ได้เหมือนกันสักนิด ต่อให้วันนี้ เสียงข้างมากยกมือให้กับการพนันเปิดบ่อนอบายมุขกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ยานรกสารเสพติด การค้าประเวณี ถูกผลักดันขึ้นมาให้อยู่กลางแจ้ง จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในสังคม คนทุจริตจ้อโกง กลายเป็นค่านิยมที่คนทั่วไปยกย่องสรรเสริญ ป๊ะคงไม่อาจขวางอะไรใครในประเทศนี้ได้หรอก แต่ป๊ะก็มีสิทธิ์ของป๊ะ สิทธิ์ที่ไม่อาจเห็นดีเห็นงามกับเรื่องพรรค์นั้น เสียงส่วนใหญ่อาจเปลี่ยนกฎหมายได้ แต่ไม่อาจเปลี่ยนหลักการได้หรอกนะ ยังไงป๊ะก็ไม่อาจคล้อยตามกับสิ่งที่มึงทำได้

สิ่งสำคัญที่ป๊ะจะบอก ก็ต่อให้หลักการศาสนามันจะต่างกับประชาธิปไตยยังไง ประเด็นคือ ก็ใช่ว่ามันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้นี่ ยังไงมึงก็ยังเป็นลูกป๊ะเสมอ ถ้าวันไหนอยากไปหามะ อยากไปเยี่ยมบ้านบ้าง ก็กลับมาเถอะ ที่นั่นยังเป็นบ้านมึงเสมอและจะเป็นตลอดไป

แต่ก็อย่าถึงขนาดพาแฟนไปเปิดตัวหรืออะไรขนาดนั้นเลยนะ ถือเสียว่า เห็นใจป๊ะบ้างก็แล้วกัน”

“ความรัก มันผิดมากเหรอป๊ะ พระเจ้าเป็นผู้ที่เมตตาเสมอไม่ใช่เหรอ…”

 

เป็นอีกครั้งหนึ่งบุกคอรีรู้สึกว่าบางคำถามก็ไม่ต้องการคำตอบ หลายเดือนมานี้บุกคอรีเริ่มคิดตรึกตรองและเข้าใจ ความจริงก็ใช่ว่ามันจะไม่มีคำตอบหรอก แต่ในเมื่อคำตอบของแต่ละคนนั้นต่างกัน เถียงกันไปให้ตายก็เท่านั้น บางทีลูกชายของเขา อาจต้องหาคำตอบของตัวเอง เขาจ้องนัยน์ตาลูกชายพลางบอกออกไป “ป๊ะก็ได้แต่หวังว่า พระเจ้าจะทรงชี้นำทางให้ทั้งมึงและป๊ะ ยืนอยู่ในทางที่ถูกต้อง”

ลมบ่ายบางเบาพัดผ่านไปอีกรอบ ดอกราชพฤกษ์พลันร่วงโรยและโปรยปราย นกกางเขนตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่ตรงกิ่งไม้คล้ายแอบจ้องมองเหตุการณ์อยู่ตลอด สายตายูนุดพลางมองตามหลังรถกระบะของป๊ะกับมะเคลื่อนตัวออกไปบนเส้นถนน แฟนหนุ่มของเขาที่แอบซุ่มเงียบอยู่ในบ้านตั้งนาน ก็โผล่เดินออกมา พลางยื่นแขนมาโอบไหล่ยูนุดเอาไว้พร้อมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง

สายตาคนทั้งคู่คล้ายจ้องแลส่งอำลา กับรถกระบะคันสีขาวที่ค่อยๆ เคลื่อนหายห่างออกไปจนลับตา •