เลือกจะแคร์ใครมากกว่า

เมนูข้อมูล | นายดาต้า

 

เลือกจะแคร์ใครมากกว่า

 

เป็นความเดือดร้อนระดับทุกข์ท่วมแผ่นดิน สำหรับผู้ประสบอุทักภัยภาคเหนือรอบนี้ โดยเฉพาะที่เชียงรายที่บ้านเรือนหลายหมู่จมอยู่ในโคลนที่กระแสน้ำพัดพามา

แม้น้ำใจหลากล้นจากเพื่อนร่วมชาติ และการเอาจริงเอาจังขององค์กรเอกชนที่เข้าไปหนุนเสริมการทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐจะสร้างความอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างว่าอย่างน้อยไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ไม่ได้ทำให้ทุกข์ร้อนนั้นคลายจางจากใจได้

ความว้าเหว่ยังเป็นการไขว่คว้าหาความหวังไม่เจอว่าใครจะจะช่วยได้

เพราะหากว่ากันตามหน้าที่ ในยามปกติประชาชนทำมาหากินแบ่งรายได้ให้รัฐในรูปของภาษี

อย่าไปพูดว่าประชาชนเกือบ 70 ล้านคน มีที่เสียภาษีแค่ 4 ล้านคน เพราะมันไม่ใช่ ทุกคนต้องจ่ายภาษีทั้งนั้น เพียงแต่รูปแบบการเก็บของรัฐแตกต่างไป แค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องจ่ายให้รัฐบาลแล้ว ในนามภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของราคาสินค้า

แลกกับในยามเดือดร้อน รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคลี่คลายให้ความทุกข์บางเบา นี่คือหน้าที่ของรัฐ และหากเป็นปกติสุดคือประชาชนต้องเชื่อมั่น และมีความหวังว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่นี้ได้ดี

ที่น่าใส่ใจพิจารณาคือ รัฐบาลทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นนั้นหรือไม่

 

ผลสำรวจล่าสุดของ “สวนดุสิตโพล” เรื่อง “คนไทยกับสถานการณ์น้ำท่วม” ในหลายคำถามมีคำตอบเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ดังกล่าวของรัฐบาล

“ณ วันนี้ประชาชนเชื่อมั่นต่อการป้องกันและการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลหรือไม่” ปรากฏว่า ร้อยละ 69.76 ไม่เชื่อมั่น, ร้อยละ 30.24 เชื่อมั่น

“ณ วันนี้ประชาชนถึงพอใจต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลหรือไม่” ร้อยละ 77.80 ไม่พึงพอใจ, ร้อยละ 22.20 พอใจ

“สิ่งที่ประชาชนอยากฝากไปถึงรัฐบาลแพทองธาร กรณีน้ำท่วม” ร้อยละ 64.07 อยากให้ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและทันท่วงที, ร้อยละ 57.75 เห็นว่าควรบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ วางแผนป้องกันระยะยาว

ร้อยละ 51.36 มีมาตรการฟื้นฟู เยียวยา หลังน้ำลดอย่างเหมาะสม

 

ทั้งหมดเป็นความคาดหวังในการทำหน้าที่ปกติของรัฐบาล

แต่กลับหวังไม่ได้ ซึ่งเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะช่วงรอยต่อของรัฐบาลเก่ากับรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่จะต้องระมัดระวังทุกจังหวะก้าว

การที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร บอกว่า “ต้องรอแถลงนโนบายก่อนจึงจะสั่งการหน่วยงานได้” ที่ทำให้ถูกโจมตีไม่น้อย “ทำนองไม่จำเป็นต้องรอ ความเดือดร้อนประชาชนรอไม่ได้” แต่หากมองสายตาของผู้พร้อมให้ความเป็นธรรม “นายกรัฐมนตรีถูกร้องเรียนในทุกประเด็นที่คิดออก หาได้ เพื่อเอาผิด” ย่อมต้องระมัดระวังการกระทำ จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนการเข้าสู่ตำแหน่งและมีอำนาจให้ครบ

เช่นเดียวกับการบอกว่า “ต้องรอให้กระแสน้ำลดความรุนแรงจึงจะลงไปเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย” ที่ถูกโจมตีว่า “ทำไมไม่ลงไปในทันที”

หากมองอีกมุมหนึ่งเป็นการพูด และทำที่ตรงกับความคิด และความเป็นจริงควรจะเป็น เช่น เพราะผู้นำของประเทศทำให้สิ่งที่หน่วยงานต่างๆ ที่วุ่นวายอยู่แล้วกับการช่วยเหลือชาวบ้าน ต้องมาคุ้มครองความปลอดภัยในการลงพื้นที่มีสถานการณ์เสี่ยงนั้น ย่อมไม่พ้นถูกโจมตีว่าทำตัวเป็นภาระให้ยุ่งยากโดยไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในสถานการณ์เช่นนั้นผู้เดือดร้อนย่อมอยากได้ความช่วยเหลือมากกว่าอยากเห็นหน้านายกรัฐมนตรี

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะเข้าใจถึงความจำเป็นต้องรับแรงกดดันหรือไม่ก็ตาม แต่ในฐานะรัฐบาลต้องอยู่ในความสำเร็จของการทำหน้าที่คือ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และคาดหวังได้

เว้นเสียแต่ว่า มีความเชื่อว่า ประชาชนจะรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เงื่อนไขอันดับแรกที่ทำให้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ

พรรคการเมืองที่ถูกเลือกจากโครงสร้างและกลไกอำนาจที่ออกแบบและกำหนดการตัดสินต่างหากที่จะมีสิทธิเป็น “ผู้นำประเทศ”

ไม่ใช่ “พรรคการเมือง” หรือ “นักการเมือง” ที่ประชาชนเลือก