ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
ภาพยนตร์
: ความบันเทิงของคนไทยในช่วงสงคราม (จบ)
ภาพยนตร์ในไทยใต้เงาสงคราม
ในห้วงเวลาแห่งสงครามนั้น ภาพยนตร์กลายเป็นสื่อหนึ่งที่รัฐบาลใช้สื่อสารทางการเมืองกับประชาชนเพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นคล้อยตาม รัฐบาลจึงมักใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อทางการเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองนั้นด้วยการส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์ปลุกใจ เช่น เลือดทหารไทย (2478) เพลงหวานใจ (2480) หวานใจนายเรือ (2481) ค่ายบางระจัน (2482) บ้านไร่นาเรา (2485) น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง (2485) เป็นต้น
สำหรับ “บ้านไร่นาเรา” (2485) นั้น ไม่แต่เพียงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยดำริของจอมพล ป.เท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ให้โครงเรื่องแก่ภาพยนตร์ดังกล่าวอีกด้วย
เนื้อหาเป็นเรื่องชีวิตของเฉิดและเฉิดฉายที่ใช้ชีวิตเกษตรกรและตระหนักในการปกป้องประเทศชาติตามแนวรัฐนิยม ต่อมาส่งชาญ บุตรชายไปเรียนเกษตรที่เกษตรแม่โจ้ เมื่อบุตรชายสำเร็จกลับมาใช้ชีวิตในถิ่นของตน แต่พบว่า มีพ่อค้าเอารัดเอาเปรียบคนไทย ชาญจึงเผยแพร่การเกษตรสมัยใหม่และแนะนำการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อต้านความไม่เป็นธรรม ทำให้บุตรต้องเผชิญหน้าความอยุติธรรม ชาญสามารถปราบปรามความอยุติธรรมลงได้และแต่งงานครองรักได้ในที่สุด
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นโดยกองภาพยนตร์ทหารอากาศ ฉายครั้งแรกในช่วงต้นสงครามเมื่อเมษายน 2485 ที่เฉลิมกรุง และโอเดียน ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่สร้างโดยรัฐบาลเพื่อเป็นสื่อโฆษณานโยบายของรัฐบาลในครั้งนั้น (thaibunterng.fandom.com)
บ้านไร่นาเราถึงแม้จะเป็นเรื่องชีวิตชาวนาไทย แต่ช่วงเวลานั้น รัฐบาลมุ่งปฏิวัติวัฒนธรรมไทยให้อยู่ในระดับสากล ภาพยนตร์ดังกล่าวจึงนำเสนอภาพชาวนาไทยใส่ชุดแบบฝรั่ง ใส่รองเท้าบู๊ต สวมหมวกปีกกว้างไปทำนา (จำเริญลักษณ์, 219)

ภาพยนตร์กับน้ำท่วมช่วงสงคราม
ไม่นานหลังไทยเข้าร่วมสงคราม ในปลายปี 2485 นั้นเองเกิดน้ำท่วมใหญ่พระนคร ทำให้โรงภาพยนตร์หลายแห่งประสบปัญหาน้ำท่วมจนไม่สามารถฉายภาพยนตร์ได้ ต้องประกาศงดฉาย ดังเช่น โรงฉายสังกัดสหสินีมาประกาศน้ำท่วมทำให้ผู้มาชมและโรงภาพยนตร์ประสบปัญหาจึงงดฉายภาพยนตร์ที่เฉลิมกรุง เฉลิมนคร เฉลิมธานี เฉลิมรัฐ และเฉลิมราษฎร์ ส่วนโรงอื่นยังคงฉายตามปกติ (สรีกรุง, 17 ตุลาคม 2485)
สง่า อารัมภีร เล่าว่า สมัยน้ำท่วม ที่นั่งในโรงภาพยนตร์จมน้ำจึงต้องปิดการแสดง บางโรงมีระดับน้ำท่วมสูงถึงเวทีก็มี แต่เพียงโรงหนังแคปปิตอลเป็นที่ยังเปิดฉายได้ ภาพยนตร์ที่ฉายมีแต่ภาพยนตร์ญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นช่วงสงคราม ภาพยนตร์จากยุโรป อเมริกาเข้ามาฉายไม่ได้ เพราะการขนส่งถูกปิดกั้น และเป็นชาติอริกันในสงคราม และหากใครจะไปชมภาพยนตร์ต้องพายเรือ จอดเรือตามถนนเจริญกรุงแถวหน้าโรงหนัง (สง่า, 2509, 116-117)
แม้นในช่วงเวลานั้น เกิดความขาดแคลนฟิลม์ถ่ายทำภาพยนตร์มาก แต่บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้สร้าง “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” เมื่อปลายปี 2485 ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้าง คือ
1. ส่งเสริม สนับสนุน การปรับปรุงวัฒนธรรมของชาติตามนโยบายของรัฐบาล
2. บันทึกภาพเหตุการณ์น้ำท่วมของบางจังหวัดในไทย
และ 3. เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สำหรับอนาคต แต่ภาพยนตร์นี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ข่าวจึงมีนักแสดง มีบทภาพยนตร์เป็นเรื่องรัก กินใจและตลกขบขันด้วย (สรีกรุง, 21 พฤศจิกายน 2485) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ชั้นนำในต้นปี 2486
กล่าวอีกอย่างคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อปลอบขวัญคนไทยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ตามนโยบายของจอมพล ป. โดยศรีกรุงเริ่มถ่ายทำช่วงน้ำท่วมพระนคร ด้วยฟิล์ม 35 ม.ม.ขาวดำ มีเสียงในฟิลม์ เข้าฉายที่เฉลิมกรุงภายหลังน้ำลดแล้วเมื่อกุมภาพันธ์ 2486 โดยโฆษณาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ให้คติยุคสร้างชาติ มีทั้งเรื่องรัก ตลกขบขัน เพลงไพเราะ สนองนโยบายผู้นำ ปลอบใจน้ำท่วมผู้คนได้อย่างดี มีพระเอกเป็นกรรมกรเรือจ้าง (ภาพยนตรานุกรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1, 2557, 130)
ควรบันทึกด้วยว่า นับแต่ภายหลังน้ำท่วมแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มโจมตีพระนครด้วยระเบิดอีกครั้ง ส่งผลให้ชาวพระนครออกมาใช้ชีวิตพักผ่อนยามค่ำคืนลดลงด้วยความหวาดวิตกในเรื่องความปลอดภัย

ภาพยนตร์จากมหามิตร
เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้น สงครามสร้างความเสียหายต่อสังคม ไม่เว้นแม้แต่กิจการภาพยนตร์ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามนี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการซื้อภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาฉายไม่ได้ โดยเฉพาะภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชมคนไทย ดังนั้น โรงหนังจึงขาดแคลนภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ รวมไปถึงความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินผู้คน ทำผู้คนบางส่วนต้องอพยพออกจากกรุงเทพฯ กิจการฉายภาพยนตร์จึงต้องซบเซาลง (วีระยุทธ์ ปิสาลี, 2557, 123-124)
เมื่อไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นก็เข้ามาตกลงกับกรมโฆษณาการเกี่ยวกับกิจการภาพยนตร์ โดยขอให้ไทยงดฉายภาพยนตร์จากอังกฤษ อเมริกา และจีนที่มีเนื้อหาต่อต้านญี่ปุ่นเสีย (นิภาภรณ์ รัชตพัฒนากุล, 2559, 81)
ในช่วงนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้มีการสร้างภาพยนตร์ขึ้นเพื่อลดความความขัดแย้งระหว่างจีน-ญี่ปุ่นสืบจากญี่ปุ่นรุกรานจีน ต่อมา กองทัพญี่ปุ่นจัดฉายภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อขึ้นในไทย เนื่องจากญี่ปุ่นกังวลการต่อต้านญี่ปุ่นของคนจีนในพระนคร ด้วยรู้ดีว่าประชากรกว่าครึ่งของพระนครเป็นชาวจีนหรือผู้มีเชื้อสายจีน (นิภาภรณ์, 84-85)
กองทัพญี่ปุ่นสนับสนุนให้ฉายภาพยนตร์และภาพยนตร์ข่าวจากบริษัทภาพยนตร์โตโฮและบริษัทเออิงะ ฮัยกิวชะ ที่รายงานข่าวชัยชนะของการรุกคืบของกองทัพญี่ปุ่นและชี้ชวนให้เห็นความปรารถนาดีของกองทัพญี่ปุ่นให้สังคมไทยทราบอย่างต่อเนื่อง (สรศัลย์, 165)
คนร่วมสมัยอย่าง สมพงษ์ วงศ์รักไทย นายกสมาคมนักพากย์แห่งประเทศไทย เล่าว่า ในช่วงสงคราม คนไทยหาภาพยนตร์ฝรั่งชมได้ยาก เพราะไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ส่งภาพยนตร์ของบริษัท เออิงะ ฮัยกิวชะ เข้ามาฉายในไทยทั่วไป (อนุสรณ์งานศพ ม.ล.รุจิราภา, 2527, 48)

นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เมื่อครั้งสงคราม ภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดที่ฉายในโรงภาพยนตร์ไทยมีแต่เรื่องเก่าที่เคยฉายมาตั้งแต่ก่อนสงคราม ไม่มีภาพยนตร์ใหม่เพราะไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว ความสัมพันธ์ต่างๆ จึงสิ้นสุดลง มีแต่ภาพยนตร์จากญี่ปุ่นเท่านั้น เขาเห็นว่า ภาพยนต์ของญี่ปุ่นนั้น “เหลือรับประทานจริงๆ” (บุศย์ สิมะเสถียร, 2550)
ครั้งนั้น หากใครต้องการไปชมภาพยนตร์ในช่วงสงคราม จะพบแต่ภาพยนตร์ฝรั่งที่ค้างเก่ามาแต่ก่อนสงครามเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องชมภาพยนตร์จากญี่ปุ่นฉายไปทั่ว เช่น ภาพยนตร์จากบริษัท เออิงะ ฮัยกิวชะ หรือไม่ก็ชมภาพยนตร์ของศรีกรุงที่ผลิตป้อนผู้ชมคนไทยหลายเรื่อง (สง่า, 2509, 116-117; วีระยุทธ์ 123-124)
สอดคล้องกับแก้ว อัจฉริยะกุล ผู้จัดละครเวที เล่าว่า ช่วงสงคราม บ้านเมืองเงียบเหงาราวกับเมืองร้าง การมหรสพซบเซา ภาพยนตร์อเมริกันก็ไม่มีเข้ามาฉาย มีอยู่เก่าๆ ซ้ำซาก ภาพยนตร์ญี่ปุ่นก็ทะลักเข้ามาฉายกันเต็มบ้านเต็มเมือง มีคนเคยลักลอบนำภาพยนตร์อเมริกันเข้ามาฉายบ้างก็น้อยเรื่องและต้องเสี่ยง หากครั้งใดเสี่ยงไม่รอดถูกญี่ปุ่นจับได้ ภาพยนตร์ก็ถูกจับโยนลงทะเลหรือเผาไฟวอดวายไป (ปฏิพัทธ์ สถาพร, 2560, 76)
กล่าวได้ว่า สภาพความบันเทิงของคนไทยจากภาพยนตร์ในช่วงนั้นถูกจำกัดด้วยสงครามทำให้ภาพยนตร์ที่ฉายมีความหลากหลายน้อยลง เนื้อหาของภาพยนตร์ส่วนใหญ่มีเนื้อหามุ่งปลุกใจให้รักชาติ และการโฆษณาชวนเชื่อให้เป็นคุณกับฝ่ายอักษะเป็นสำคัญ




สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022