รูดม่านปิดฉาก “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ | จรัญ พงษ์จีน

รูดม่านปิดฉาก “3 ป.บูรพาพยัคฆ์”

ในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ขึ้นหลังเสือได้ แต่ต้องฉลาดพอที่จะลงจากหลังเสือ ลงอย่างไร ท่าไหน กลวิธีใดไม่ให้เสือกัด ยกความไม่เที่ยงของ “คนขี่เสือ” มานิยามกับบทบาทของ “พี่น้อง 3 ป.-ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่กำลังถึงกาลอวสาน

“3 ป.” ที่ว่าประกอบด้วย “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่ใจดี พูดจาเพราะ หวานหยด “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” น้องรอง นายทหารมาดขรึม ขึงขัง จริงจัง พูดน้อย ต่อยหนัก และน้องเล็ก “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” พูดเยอะ ตลกขบขัน เก่งหลายเรื่อง พูดรัวเป็นไฟ ร้องเพลงก็ได้ เล่นตลกก็ร้าย

เอาบุคลิกพี่น้อง 3 ป.มามัดรวมเข่ง ผนึกขายแพ็กเดียวกัน มีจุดลงตัวด้วยความพอดี สมบูรณ์ เลยสร้างตำนานครอบครองศูนย์อำนาจมายืดเยื้อยาวนานตั้งแต่โน่นนานมาแล้ว หลังปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2557 ถึงปี 2566

“3 ป.บูรพาพยัคฆ์” สวมบทราหูอมจันทร์นานมะกาเล 9 ปีเต็ม นานเอาการ แม้อมจนเบื่อ ค่อยๆ คลายเกลียว พี่แกจัดให้มีการเลือกตั้งใหญ่หนแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ก็ยังหวานคอแร้ง พี่น้อง 3 ป. พรรคต้นสังกัดที่ชื่อ “พลังประชารัฐ” ชนะเลือกตั้ง คุมเสียงข้างมากได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาลต่ออีกสมัย แต่ละคนยังยืนหยัดอยู่ในศูนย์อำนาจจุดเดิม แชร์อำนาจกันเหมือนเก่า คือ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ประวิตร” รองนายกฯ “พล.อ.อนุพงษ์” ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แต่ดังที่บอก ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน การยึดอำนาจนั้นยาก แต่การรักษาอำนาจให้มั่นคงถาวรตลอดไปยากมากกว่าหลายเท่า เค้าลางอวสานของ “พี่น้อง 3 ป.” เริ่มปรากฏร่างเงา กับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ “3 ป.” ตัดสินใจแยกกันเดินคนละแบบ

โดย “น้องเล็ก-พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศไปเปิดตัวสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ที่ชื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” และลงแคนดิเดตนายกฯ ขณะที่ “น้องรอง-พล.อ.อนุพงษ์” ประกาศล้างมือในอ่างทองคำ ยุติบทบาททางการเมือง ทิ้ง “พี่ใหญ่-บิ๊กป้อม” ยืนโดดเดี่ยวเดียวดายใต้ร่มเงาพลังประชารัฐ สังกัดเก่าเพียงผู้เดียว

9 ปีเต็มกับการสืบทอดอำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.” ฉากม่านค่อยๆ รูดปิดไปแต่ละคน ไม่เหมือนกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศก้าวลงจากหลังเสือ วางมืออย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 หลังต้นสังกัด พรรครวมไทยสร้างชาติได้ที่นั่งเข้าสภามาเพียง 36 เสียง โยนผ้ายอมแพ้แต่โดยดี และต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี จบสวยสง่าผ่าเผย “เสือไม่กัด”

ส่วน “พล.อ.อนุพงษ์” อดีต มท.1 ยอดเยี่ยมมาก กับตำแหน่งแห่งหน 9 ปีบนศูนย์อำนาจ ในตำแหน่ง มท.1 ร่ำรวย อู้ฟู่อยู่ตึก หลบรอดปลอดภัยทุกกรณี ไม่มีคดีใดตามหลอกตามหลอน แถมเป็นอะเสี่ยแล้วยังไม่พอ สุขภาพแข็งแกร่ง เพราะช่วงที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี วันว่างชอบปั่นจักรยาน พอล้างมือทางการเมืองแล้ว กลับไปตีกอล์ฟกับก๊วนเพื่อนเก่า ตท.10 ร่างกายทั้งฟิตทั้งเฟิร์ม ตีไกล ไดรฟ์ตรง ทรงพลัง กินเพื่อนเรียบ บ่นกันพรึบอีกต่างหาก

“พี่น้อง 3 ป.” มีเพียง “พี่ใหญ่-ลุงป้อม” ที่ยังประกาศวิ่งสู้ฟัด ไม่ยอมวางมือ และอาการย่ำแย่ น่าเป็นห่วงมากกว่าใครเพื่อน เกรงกันว่า ตอนอวสานจบศพไม่สวย ลงจากหลังเสือ…ทำท่าว่า “เสือกัด” สี่คนหามสามคนแห่

ล่าสุดเมื่อวันวาน “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตีฆ้องร้องป่าวเรียกลูกแถว ไปร่วมงานที่ตัวเองเป็นประธานในพิธีสักการะศาลพระพรหม ที่ประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าตึกอาคารที่ทำการพรรคเพื่อเสริมสิริมงคล และเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ปรากฏว่า ลูกแถวมาร่วมวงไพบูลย์กันหร็อมแหร็ม-โหรงเหรง-บางตา ก่อนหน้านี้ประเมินตัวเลขกันว่า หลังที่ ส.ส.ส่วนหนึ่งไขก๊อกเดินตามต้อยห้อยติดก๊วน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” แหกด่านรอยต่อฯ ไป 22 คน เหลือขุมกำลังอยู่ 18 ที่นั่ง

แต่วันเปิดตึกเสริมดวง เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีข่าวว่าเหลือยอดอยู่ราว 9 ที่นั่ง อัสดงเข้าดงกล้วยไปอีกจำนวนหนึ่ง แถมวันนั้น เจ้าของตึกที่ทำการพรรค “กลุ่มสันติ พร้อมพัฒน์” ก็หายจ้อยไม่ปรากฏร่างเงา ไม่รู้ส่งสัญญาณอะไร เกี่ยวกับจะตัดน้ำตัดไฟตึกที่ทำการพรรคหรือไม่ประการใด

“ลุงป้อม” ช่วงนี้ถือว่าชอกช้ำระกำทรวงหนัก “พปชร.” ถูกฆ่าตัดตอน แตกแถวออกเป็น 2 ส่วน ขุมกำลังเหลือน้อย แถมถูกเขี่ยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลหน้าตาเฉย ต้องแปรสภาพไปนั่งกินแห้วอยู่ในซีกฝ่ายค้าน ยอมรับว่าอึดมากสำหรับคนอายุปูนนี้

มีข่าวว่า ยังมีดาบสองตามเล่นงาน “บิ๊กป้อม” ซ้ำในเร็วๆ นี้ เตรียมเล่นใหญ่ไฟกะพริบ มีการเช็กบิลว่าด้วยการทวงคืน “บ้านป่ารอยต่อฯ” อันเป็นบ้านพักสวัสดิการของกองทัพบก ในพื้นที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซี่ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ใช้ก่อตั้งมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด แต่อ้างว่า “ลุงป้อม” ใช้เป็นพื้นที่มาดำเนินกิจกรรมและเคลื่อนไหวทางการเมือง ขัดต่อภาระหน้าที่ของกองทัพ ที่อาจจะถูกข้อครหาว่า นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

ซึ่งที่ดินพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่บ้านพักสวัสดิการ แต่ “พล.อ.ประวิตร” นำมาตั้งมูลนิธิตั้งแต่ปี 2549 แต่ตอนหลัง บ้านป่ารอยต่อฯ ถูกนำมาเป็นฐานที่มั่นทางการเมือง ใช้เป็นที่พบปะ ประชุม รายงานตัว ชุมนุมทางการเมือง เสียเป็นส่วนใหญ่ มีนักการเมืองเคลื่อนไหวเข้าออกเป็นประจำ ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ที่กำหนดว่าเพื่อสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่าพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก

ดังนั้น กองทัพบก หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ ภายใต้การกำกับของ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” สามารถเรียก หรือยึดคืนมาเป็นบ้านพักสวัสดิการของทหาร

สรุป พี่น้อง 3 ป. มีเพียง “พี่ใหญ่” คนเดียว ที่อาการหนักกว่าใครเพื่อน