ปิดแฟ้ม ‘คดีเป้รักผู้การเท่าไหร่’ สารตั้งต้นสงคราม ‘2 นายพล’ กระหึ่ม! สองมาตรฐาน?

ปิดแฟ้มไปแล้วคดีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับทรัพย์จากเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ 140 ล้านบาท หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “คดีเป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา”

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบและคณะพนักงานสอบสวน นำ 30 ผู้ต้องหา พร้อมสำนวนความเห็นสมควรสั่งฟ้อง 31 กล่อง จำนวนกว่า 2 หมื่นแผ่น มอบให้พนักงานอัยการ สำนักงานปราบปรามทุจริตฯ พิจารณาสั่งคดีเรียบร้อยแล้วก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ถ้าจำกันได้ นายวิษณุ เครืองาม ขณะนั่งเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ว่า “คดีเป้รักผู้การ” เป็นหนึ่งใน “สารตั้งต้น” ความขัดแย้งศึก “สองนายพล” ระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ขณะนี้เป็นอดีตรอง ผบ.ตร.ไปแล้ว

ทั้ง “2 บิ๊กตำรวจ” มีลูกน้องภายใต้การบังคับบัญชา โดยสาย “บิ๊กต่อ” มีลูกน้อง นรต.รุ่นเดียวกับคีย์แมนในคดีนี้

 

ย้อนความไปทุกอย่างค่อยๆ เขม็งเกลียวแล้วแตกโพละ ยุค “ผบ.ตร.ลักกี้นัมเบอร์”

เมื่อมีผู้เสียหายร้อง “บิ๊กโจ๊ก” ขณะเป็นรอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน กล่าวหาว่า “ผู้การอ๊อด” พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ นรต.รุ่น 45 ผบก.ภ.จ.ชลบุรีขณะนั้น และนายตำรวจกลุ่มหนึ่งรีดทรัพย์เว็บพนันออนไลน์ “Foxbet 168” จากกลุ่มของ “เป้” นายธนินวัฒน์ อุดมเชาวเศรษฐ์ และพวกรวมกว่า 140 ล้านบาท

บิ๊กโจ๊กยอมรับว่าได้รับแจ้งก่อน 3 วันที่จะเป็นข่าว ตอนแรกยังไม่เชื่อ เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงแจ้งผู้ร้องเรียนไปว่าหากตรวจสอบแล้วไม่จริง ต้องรับผิดชอบ ปรากฏว่าผู้เสียหายยืนยันว่าจริง และมีหลักฐานมาให้ดู

ต่อมาบิ๊กเด่น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ขณะนั้น ตั้ง “บิ๊กโจ๊ก” เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนี้

 

พอเข้าสู่ยุค ผบ.ตร.คนที่ 14 “บิ๊กต่อ” แบ่งงานรอง ผบ.ตร.ใหม่ ให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวนแทน “บิ๊กโจ๊ก”

ปรากฏว่ามีการมอบหมายต่อให้ “บิ๊กอ้อ” พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนมาดูแลคดีนี้

การดำเนินคดีขณะนั้น พบว่า มีตำรวจทั้ง 17 นาย และพลเรือนอีก 4 คน เกี่ยวข้องนำตัว “เป้” ไปรีดทรัพย์ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายด้วย

จึงถือเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่อัยการร่วมตรวจสอบกํากับการสอบสวนตำรวจ

ปีเศษๆ กว่าจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา 31 คน จากทั้งหมด 35 คน แบ่งเป็นตำรวจ 19 นาย และพลเรือน 12 คน

ในจำนวนนี้พบว่าหลบหนี 1 คนคือ นายพิสิษฐ์ คณิศรพาณี หรือ “ต้น พัทยา”

 

การตั้งข้อหาแบ่งเป็น กลุ่มแรก “ตำรวจตัวการ” พล.ต.ต.กัมพล กับพวก ที่มีตำรวจ บช.ไซเบอร์ รวม 16 นาย โดนข้อหาเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 พ.ร.บ.ป.ป.ช. และ พ.ร.บ.อุ้มหาย

นั่นคือ มีการจับผู้ต้องหาคือ “เป้” ได้แล้วไม่นำส่งพนักงานสอบสวนในท้องที่ มีความผิดมาตรา 7 พ.ร.บ.อุ้มหาย

กลุ่มที่ 2 เป็นพลเรือน ข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่, เรียกรับผลประโยชน์ และ พ.ร.บ.อุ้มหาย 3 คน

กลุ่มที่ 3 เป็นพลเรือน ข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และ พ.ร.บ.อุ้มหาย 10 คน

กลุ่มที่ 4 ตำรวจไซเบอร์ 2 นาย มีความผิดมาตรา 157 คือการเข้าไปตรวจค้นจับกุมในบ้าน “เป้” โดยที่ปล่อยให้พลเรือนเข้าไปร่วมในการตรวจค้น

แต่ตํารวจไซเบอร์ 2 นายที่โดนข้อหาดังกล่าว ไม่ได้ตามไปที่จังหวัดชลบุรีด้วยและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียกรับหรือยอมรับจะรับ จึงไม่โดนข้อหาตามมาตรา149 และ พ.ร.บ.อุ้มหาย

 

นอกจากนี้ ในสำนวนสั่งไม่ฟ้อง 3 คน คือ ตำรวจ 2 นาย และพลเรือนอีก 1 คน เพราะสืบสวนสอบสวนแล้วไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ นั่นคือ พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ (สงวนนามสกุล), ร.ต.อ.กฤติภาส (สงวนนามสกุล) และนายนันทวัฒน์ (สงวนนามสกุล)

เหตุผลคือ พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ เป็นรอง ผบก.จ.ชลบุรี ไม่ได้มาเกี่ยวข้องตอนเรียกรับ ไม่ได้ไปร่วมจับกุม แต่แค่ได้รับผิดชอบโดย “อดีตผู้การอ๊อด” บอกว่าคนนี้จะเป็นคนดูเรื่องสํานวน ให้ทําสํานวนเฉยๆ ไม่เกี่ยวข้องเลย

ส่วนคนที่ 2 ร.ต.อ.กฤติภาส ไปตรวจค้นแล้วไม่ได้ไปร่วมไปถึงจุดที่มีการเรียกรับเงิน

และคนที่ 3 นายนันทวัฒน์ เป็นการดำเนินคดีผิดตัว เพราะชุดดําเนินคดีชุดแรกแจ้งว่าเป็นนายนันทวัฒน์อยู่ในจุดที่มีการกักตัว “เป้” ปรากฏว่าเจ้าตัวบอกไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ ตรวจสอบแล้วได้ให้ความเป็นธรรม

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 30 คน อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้นัดให้ทั้งหมดเดินทางมาฟังคำสั่งว่าจะฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 26 กันยายน เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก

 

ส่วน “บอย พัทยา” หรือ นายวีระ นาทรัพย์ ที่โผล่อยู่ใน “สตอรี่” รับหน้าเสื่อเคลียร์ เจ้าของวลี “เนียนกริ๊บ พี่เคลียร์ให้…” ถือเป็นผู้กว้างขวาง บิ๊กโจ๊กเคยกล่าวหาว่า “บอย” ร่วม “อดีตผู้การชลบุรี” ตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ภ.จว.ชลบุรีขึ้นมา รวมทั้งเป็นคนคัดเลือกตำรวจชุดนี้ด้วยตนเอง เพราะ “บอย” สามารถสั่งการตำรวจได้

เปรียบเสมือนเป็น “นอมินี” มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ผกก.ทุกสถานีตำรวจภาค 2 คอนเน็กชั่นเข้าถึง “บิ๊กเนม” สีกากี

ขณะที่ บอย พัทยา ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าไม่เคยมีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เคยแตะตัว “เป้” และไม่เคยกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย เพราะตัวเองเป็นสายลับคอยให้ข้อมูลตำรวจว่าใครทำเว็บพนันบ้าง แต่ข้อมูลที่ได้เป็นการพูดกันต่อๆ ไม่ใช่ข้อมูลเชิงลึก ยอมรับว่ามีการไปชี้เป้าที่บ้าน “เป้” จริง แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมจับกุมด้วย พร้อมระบุสนิทสนมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จริง

 

หลังคดีนี้ปิดแฟ้ม เสียงครหากระหึ่มกรมปทุมวัน ว่า สองมาตรฐานหรือไม่

เพราะกรณี “บิ๊กโจ๊ก” และ 8 ลูกน้องใกล้ชิด เมื่อถูกดำเนินคดี มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แล้วตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง

แต่ขณะที่คดีนี้ ผู้ต้องหาระดับคีย์แมนทั้งหลายอยู่ภายใต้สังกัดผู้มีอำนาจ ยังอยู่สบายดี แค่บางคนโดนย้ายประจำ ศปก.ตร.เท่านั้น

จึงมีคำถามถึงความยุติธรรมในกรมปทุมวันทำไมสองมาตรฐาน แล้วปัญหาการเมืองภายในจะยุติลงได้อย่างไร?