ประชา สุวีรานนท์ อ่าน แดเนียล บีช บรัดเลย์ ผ่าน ‘แท่นพิมพ์’

บทความพิเศษ

 

ประชา สุวีรานนท์

อ่าน แดเนียล บีช บรัดเลย์

ผ่าน ‘แท่นพิมพ์’

 

ประชา สุวีรานนท์ อาจเคยสนใจในเรื่อง “ภาพยนตร์” เห็นได้จากผลงานการเขียนผ่านหนังสือ “แล่เนื้อเถือหนัง”

อาจให้ความสนใจเป็นอย่างสูงในเรื่อง “กราฟิก ดีไซน์”

และจากความสนใจในเรื่อง “กราฟิก ดีไซน์” นั้นเอง ทำให้โฟกัสไปในเรื่องของตัวอักษร ในเรื่องของตัวพิมพ์ อย่างชนิดดิ่งลึก

ไม่ว่าความสนใจต่อ “ภาพยนตร์” ไม่ว่าความสนใจต่อ “กราฟิก ดีไซน์”

รากฐานของ ประชา สุวีรานนท์ คือ การเป็นนักเรียน “สวนกุหลาบ” ระดับหัวกะทิ

คือ การเป็นนักศึกษา “ธรรมศาสตร์”

รูปธรรมคือการทำสมานมิตรฉบับ “ศึก” รูปธรรมคือการเป็นผู้ปฏิบัติงานเงียบๆ แต่ทรงความหมายในด้านเอกสารและข้อมูลของพรรคพลังธรรมบนเนื้อดินแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยก่อนสถานการณ์เดือนตุลาคม 2519

เช่นนี้เองทำให้หนังสือ “แกะรอยตัวพิมพ์ไทย” (ฟ้าเดียวกัน, มกราคม 2567) ของ ประชา สุวีรานนท์ มีความลึกซึ้งในเรื่องของ “เนื้อหา”

โดยเฉพาะในบทว่าด้วย “ตัวพิมพ์กับโลกทัศน์ใหม่ พ.ศ.2379-2410”

 

มุมประชา สุวีรานนท์

กับโรงพิมพ์ แห่งสยาม

ปฐมบทของการพิมพ์และการออกแบบตัวพิมพ์ของไทยเริ่มขึ้นเมื่อ นายแพทย์แดเนียล บีช บรัดเลย์ (Danial Beach Bradley) หรือหมอบรัดเลย์ และมิชชั่นนารีคณะแบ๊บติสต์จากสหรัฐอเมริกา

เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ในปี พ.ศ.2379

เขาได้ก่อตั้งโรงพิมพ์และจัดพิมพ์หนังสือด้วยตัวพิมพ์ภาษาไทยในปี พ.ศ.2382 กิจการโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์ของคณะแบ๊บติสต์เจริญเติบโตจนเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว

มีการออกหนังสือพิมพ์ หนังสือเล่ม และสั่งซื้อแท่นพิมพ์เพิ่มขึ้นในปีต่อๆ มา

นั่นคือช่วงเวลาหลังจากที่ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์ (Burney Treaty) และสยามอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในด้านเทคโนโลยี เทคนิควิทยาการ เช่น การแพทย์สมัยใหม่ เครื่องจักรไอน้ำ กล้องถ่ายรูป และสิ่งประดิษฐ์นานาชนิดกำลังหลั่งไหลเข้ามา

ในด้านความรู้และภูมิปัญญา สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของแนวคิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบกฎหมาย แบบแผนประเพณี

ตลอดจนความหมายของชุมชนที่เรียกกันว่า “ชาติ”

 

แรงผลัก เทคโนโลยี

สะเทือน สังคมสยาม

การพิมพ์เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 ที่สยามมีการเผชิญหน้ากับเจ้าอาณานิคมชาวตะวันตก อีกทั้งแยกไม่ออกจากบทบาทของมิชชันนารีชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์

บรัดเลย์เป็นชาวอเมริกันและอยู่ในคณะแบ๊บติสต์ที่ชื่อ American Board of Commisioners for Foreign Missions (ABCFM)

เขามีบทบาทมากในการนำเอาเทคโนโลยีสองอย่าง คือ การแพทย์ และการพิมพ์เข้ามา

ขั้นแรกเขาเร่งดำเนินการแจกยารักษาโรค ปลูกฝี รวมทั้งริเริ่มการรักษาด้วยการผ่าตัดให้กับสามัญชนหลายคนและเจ้านายหลายพระองค์ ความสำเร็จด้านนี้สร้างความตื่นเต้นสนใจในหมู่ชนชั้นนำสยามเป็นอย่างมาก

และถือกันว่าเป็นการวางรากฐานสาธารณสุขในประเทศนี้

ขั้นต่อมาคือตั้งโรงพิมพ์เพื่อตีพิมพ์ใบปลิวคำสอนและหนังสือพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา

ประโยชน์ของการพิมพ์ อันได้แก่ การผลิตหนังสือได้อย่างรวดเร็วและสวยงามโดยไม่มีข้อผิดพลาดของการทำงานแบบเก่า ซึ่งในที่นี้ก็คือการคัดลอกด้วยมือ ทำให้มันได้รับความสนใจจากเจ้านาย เช่น เจ้าฟ้าใหญ่มงกุฎ (พระจอมเกล้าฯ) เจ้าฟ้าน้อย (พระปิ่นเกล้าฯ) กรมหมื่นวงษาสนิท และหลวงนายสิทธิ์ (ช่วง บุนนาค)

สำหรับเจ้าฟ้าใหญ่มงกุฎนั้นถึงกับก่อตั้งโรงพิมพ์ส่วนพระองค์ขึ้นภายในวัดบวรนิเวศเพื่อจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์

 

อุดมการณ์ ตะวันตก

พร้อมกับ มิชชันนารี

สิ่งพิมพ์ของบรัดเลย์บรรจุไว้ซึ่งเนื้อหาและอุดมการณ์ อันได้แก่ ความเชื่อแบบตะวันตก ความคิดแบบเหตุผล และการเมืองแบบเสรีนิยม

หรืออย่างน้อยก็มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น

และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มพิมพ์หนังสือและสิ่งพิมพ์ประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น คัมภีร์ครรภ์รักษาฯ (พ.ศ.2385) ตำราปลูกฝีโค (พ.ศ.2387)

นอกจากนั้น หนังสือ “จดหมายเหตุ” หรือ “บางกอก รีคอร์เดอร์” (พ.ศ.2387-2388) ซึ่งมุ่งที่จะเสนอข่าวต่างประเทศและความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ยังได้นำเอาวิธีการรายงานข่าวและการเขียนความเรียง

รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งเป็นของใหม่ในสมัยนั้นเข้ามาด้วย

 

แรงกระแทก ความคิด

สะเทือน รากฐาน สังคม

ต่อการเข้ามาของ “ฝรั่ง” ต่อการเข้ามาของ “มิชชันนารี” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงตั้งข้อสังเกตอย่างไม่ควรมองข้าม ดังที่ สุกัญญา สุดบรรทัด อ้างอิงในตอนหนึ่งของหนังสือ “หมอบรัดเลย์กับการหนังสือพิมพ์แห่งกรุงสยาม” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ, มิถุนายน 2547)

จำเป็นต้องอ่าน

ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ในโรงเรียนในวังหลวงนั้นทรงพบเห็นพวกมิชชันนารีบ่อยๆ คนเหล่านี้ตัวสูงโย่ง ใส่หมวกทรงสูง ไว้เครา ใส่โค้ตยาวซึ่งไม่เคยซัก มือหนึ่งถือร่มอีกมือหนึ่งถือหนังสือ

งานของคนเหล่านี้ คือ แจกหนังสือและแผ่นปลิวแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

วังหลวงของไทยนั้นเขตชั้นนอกจะเป็นสถานที่ทำการของรัฐบาล พวกมิชชันนารีจึงเข้านอกออกในได้สะดวกเพราะไม่ใช่เขตหวงห้ามพระองค์จึงทรงพบกับคนพวกนี้เสมอ

พวกมิชชันนารีพูดไทยคล่อง สมัยพระองค์ยังทรงพระเยาว์ยังเคยเข้าไปสนทนาด้วยพร้อมกับพระสหายกลุ่มใหญ่ มิชชันนารีคุยกับพระองค์ว่า

“เธอไม่รู้หรือว่าศาสนาของเธอน่ะสอนผิดๆ และจะนำเธอไปสู่นรก”

เด็กๆ ในกลุ่มชักไม่พอใจและถอยห่าง แต่เด็กบางคนหัวเราะและถามว่า “เราจะทำอย่างไรเล่าถึงจะรอดพ้นจากการตกนรกได้”

“เธอจะต้องนับถือพระยะโฮวา และปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู”

“พระเยซูสอนอะไร” เด็กๆ ถาม

มิชชันนารีแจกหนังสือและแผ่นปลิว “อ่านเอานะ หากเธอปฏิบัติตามคำสอนเธอจะได้ไปสวรรค์”

เด็กๆ บางคนก็รับไว้ แต่บางคนก็ไม่รับ

 

ปลูกเพาะ ความคิดใหม่

ความคิด วิพากษ์วิจารณ์

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับมิชชันนารีหลายคนรวมทั้งหมอบรัดเลย์ หลังจากหมอบรัดเลย์เสียชีวิตแล้วพระองค์ยังเสด็จไปเยี่ยมครอบครัวของหมดบรัดเลย์อยู่บ่อยๆ

ครั้งหนึ่ง มิสซิสบรัดเลย์กล่าวแก่พระองค์ว่า

บัดนี้นางก็ชราภาพแล้วแม้จะตายก็ไม่เสียใจ สิ่งเดียวที่ยังเป็นภาระหนักของนางอยู่ตลอดเวลา คือ พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามยังมิได้หันมานับถือศาสนาคริสเตียน หากพระองค์กลับพระทัยเมื่อใดนางจึงจะตายอย่างมีความสุข

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงความเห็นว่า

พวกมิชชันนารีรุ่นเก่าๆ นั้นเนื่องจากว่าเป็นผู้บุกเบิกจึงไม่มีผู้รู้ที่จะคอยชี้แนะว่าวิธีการโจมตีพุทธศาสนานั้นมิใช่การเผยแผ่ศาสนาที่ถูกต้องเลย การโจมตีศาสนาของประเทศทำให้เกิดข้อกังขาในหมู่ชนชาวไทยว่า โรงเรียนของพวกมิชชันนารีที่ทยอยกันเปิดขึ้นมานั้นมีวัตถุประสงค์หลักคือให้เด็กดูหมิ่นศาสนาของบรรพบุรุษของตน

ขุนนางไทยที่ไม่พอใจการดูหมิ่นพุทธศาสนาได้แสดงความเห็นในเชิงตอบโต้พวกมิชชันนารีเป็นจำนวนมาก แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ยังทรงแสดงความเห็นขัดแย้งไปลงใน “บางกอก รีคอร์เดอร์”

บทบาทของ หมอบรัดเลย์ บทบาทของ บางกอก รีคอร์เดอร์ จึงอยู่ในกระแสและความสนใจ