ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ศัลยา ประชาชาติ |
เผยแพร่ |
ด่านแรกที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับฝ่ายค้านพรรคประชาชน คือ ด่านแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
แน่นอน พรรคฝ่ายค้านเตรียมตัวแรมสัปดาห์ เก็งข้อสอบตั้งแต่ยังไม่รู้โจทย์ โดยนำนโยบายรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน วิสัยทัศน์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฉาย vision สู่สาธารณะช่วงปลายเดือนสิงหาคม มัดด้วยนโยบายเรือธงที่รัฐบาลต้องทำต่อ
ซึ่งพุ่งเป้าไปที่โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
แต่อีกด้าน นั่นก็ถือเป็นเวทีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จะเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้สื่อสารกับประชาชนคนไทยโดยตรงเป็นครั้งแรก
ในคำแถลงนโยบายของ “แพทองธาร” ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายอยู่หลายประการ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่เราเติบโตน้อยกว่าศักยภาพจริง ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นทุกที ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม และการเมือง
ทั้งหมดนี้คือ “ความท้าทาย” ที่รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วน (Collaboration) เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม (Inclusiveness) รัฐบาลพร้อมเสริมศักยภาพ สร้างโอกาสให้ประชาชนทั้งบทบาทและสิทธิ (Empowerment) เพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหาที่รุมเร้าและทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
รัฐบาลตระหนักดีว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องปัญหาหนี้สิน รายได้ ค่าครองชีพ รวมทั้งความมั่นคงและปลอดภัยในสังคม คือปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ด้วยการแก้หนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาที่กระทบความมั่นคงของสังคม เพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด
โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที 10 นโยบาย
นโยบายสำคัญที่สุดเป็นอันดับต้นๆ คือ แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ
เบื้องต้นทีมนโยบายรัฐบาลมีแนวคิดว่า ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเก็บเงินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน Financial Institutions Development Fund (FIDF) 0.46-0.47% ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งนำมาให้ธนาคารพาณิชย์ “แฮร์คัต” ช่วยลดหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน ซึ่งมีหนี้เสียอยู่ราว 1 ล้านล้านบาท ส่วนนี้จะช่วยลดหนี้เสียในระบบ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังมีแผนบูรณาการการเก็บภาษี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำรายได้ระหว่างคนจน-คนรวย ในการเอาภาษีไปเฉลี่ยคืนให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย-ไม่ถึงเกณฑ์ หรือที่เรียกว่า Negative Income Tax
“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราภาษีทั้งสองตัวดังกล่าวนั้น ในหลายๆ ประเทศมีการปรับลดลง และในระดับ International standard ก็มีแนวโน้มที่จะปรับภาษีดังกล่าวลงมา และสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นทุกประเทศก็มีการศึกษา ไทยก็เคยมีการศึกษามาเป็นระยะ
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นเรื่องของการบริโภค ที่ใครบริโภคมากก็ต้องจ่ายภาษีมากกว่าคนบริโภคน้อยกว่า ซึ่งเลือกไม่ได้ว่าจะเก็บภาษีกลุ่มไหนสูงกว่ากัน จึงจำเป็นต้องเก็บเท่ากัน แต่อาจจะเอารายได้ส่วนหนึ่งของภาษีมูลค่าเพิ่มไปช่วยคนที่มีรายได้น้อย
นโยบายเร่งด่วนต่อมาคือ หามาตรการและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติโดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะจากสัญชาติจีนที่ดิสรัปต์อี-คอมเมิร์ซทั่วโลก
พร้อมกับการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นโยบายด้านพลังงาน เร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) ซึ่งทำตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อันจะโยงไปถึงการลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง google, Microsoft ที่ต้องการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม Data center ต่อยอดไปถึงการจ้างงานในอุตสาหกรรมใหม่
ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทางของประชาชน “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม เตรียมตั้งทีมงานเร่งรัดรายละเอียด ที่จะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง
“มั่นใจว่าจะดำเนินมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสายกับรถไฟฟ้าทุกสีได้ภายในเดือนกันยายน 2568 ตามที่ได้เคยประกาศไว้
จากการสอบถามกรมการขนส่งทางราง (ขร.) พบว่า หากดำเนินมาตรการดังกล่าวกับรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 จนครบวาระรัฐบาล ซึ่งเหลืออีกประมาณ 2 ปี ต้องใช้เงินสนับสนุนมาตรการดังกล่าวปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือ 2 ปี ประมาณ 16,000 ล้านบาท” สุริยะกล่าว
อีกหนึ่งนโยบายที่ได้รับความสนใจนั่นคือ การหารายได้ใหม่เข้ารัฐ ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษีที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP
มีการคาดการณ์ว่า หากนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน 50% ก็ทำให้จีดีพีประเทศเราโตได้อีก 50% แล้วนำเงินจากเศรษฐกิจใต้ดิน ที่นำมาอยู่บนดิน ไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยเฉพาะการปักธงโครงการใหญ่ อย่าง Entertainment Complex หรือสถานบันเทิงครบวงจร
รวมถึงนโยบายด้านการท่องเที่ยว เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสานต่อเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งแลนด์บริดจ์ สนามบินล้านนา สนามบินอันดามัน จากยุครัฐบาลเศรษฐา
สำคัญที่สุด นโยบายเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพโดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) เป็นเรือธงรัฐบาลที่ไม่ทำไม่ได้ แต่มีการปรับสูตร
โดยรัฐบาลจะดำเนินการแจกให้กลุ่มเปราะบาง คือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) และกลุ่มผู้พิการ ซึ่งรวมแล้ว 14.5 ล้านคนก่อน คาดว่าจะโอนเงินได้ในช่วงวันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป
ด้าน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม อธิบายเพิ่มว่า ส่วนที่เหลือจะเป็นการจ่ายเงินแก่ผู้ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งจะได้รับเงินแบ่งเป็น 2 รอบ โดยใช้งบประมาณปี 2568 คือ รอบแรกหากระบบเสร็จไม่ทัน จะได้รับเงินสดภายในสิ้นปีนี้ก่อน 5,000 บาท แต่หากเสร็จทัน จะได้เป็นดิจิทัลวอลเล็ต ส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จะจ่ายให้ในปีหน้า โดยตั้งใจจะทำให้เป็นดิจิทัลวอลเล็ต
รัฐบาลแพทองธารเหลือเวลาอีก 3 ปี หากทำได้ครบตามนโยบายเร่งด่วน ประชาชนไทยก็มีความหวังที่จะพ้นปัญหาปากท้อง
ส่วนเอกชนไทยก็มีความหวังว่า หากทุกอย่างเป็นจริงตามนโยบายและเป้าหมายของรัฐบาล เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022