เอมิลี อาร์มสตรอง กับการเข้ามาปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ของวง Linkin Park

ในช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเข้าของวันศุกร์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย Linkin Park วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 จากยอดขายอัลบั้มทุกชุดสูงกว่า 100 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลกได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดโชว์ลับให้แฟนเพลงได้รับชมพร้อมกันทั่วโลกผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของวง

โดยการคัมแบ๊กด้วยโชว์แรกในรอบ 7 ปีหลังจากที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน ได้เสียชีวิตลงไปในปี 2017 ของวง Linkin Park มาพร้อมกับสุดยอดเซอร์ไพรส์

นั่นก็คือการเปิดตัวนักร้องนำคนใหม่ของวง Linkin Park และเธอเป็นผู้หญิง!

เธอมีชื่อว่า เอมิลี อาร์มสตรอง

ผ่านมา 1 สัปดาห์เต็มแล้วที่แฟนๆ ของ Linkin Park ได้รับชมการแสดงสดที่ทั้งทรงพลังและเต็มไปด้วยทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นลายเซ็นของทางวงมาโดยตลอด

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายนี้ทำให้แฟนๆ ของวง Linkin Park เสียงแตกออกเป็น 2 ฝั่ง

ฝั่งหนึ่งมองว่าไม่มีใครที่จะเข้ามาแทนที่เชสเตอร์ได้

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่ได้คลั่งวงจนเสียสติไปเสียก่อน ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นก้าวย่างใหม่ที่ดีสำหรับวง Linkin Park

เพราะทักษะการร้องเพลงของเอมิลี ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอมีดีมากพอที่จะมาจับไมค์ร้องเพลงฮิตในอดีตรวมถึงใหม่ให้กับวง

โลโก้ใหม่ของวง Linkin Park

เอมิลี อาร์มสตรอง เป็นผู้ก่อตั้งวงดนตรีแนวพังก์/บลูส์ และกรันจ์ ร็อก อย่าง Dead Sara โดยเธอได้รับฉายาว่าเป็น “เจนิส จอปลิน แห่งวงการเพลงอารีนาร็อกยุคใหม่” (เจนิส จอปลิน ได้รับฉายาว่าเป็นไข่มุกขาวแห่งวงการเพลงบลูส์)

และถ้าหากว่าเธอเป็นผู้ชาย เอมิลีก็เหมือนเป็นโรเบิร์ต แพลนต์ (นักร้องนำวง Led Zeppelin) และจิม มอร์ริสัน (นักร้องนำวง The Doors) ที่ผันตัวมาร้องเพลงพังก์ร็อก

จากการดูโชว์ที่เธอร้องทั้งเพลงใหม่และเพลงเก่าของวง Linkin Park พบว่า เอมิลีมีช่วงเสียงที่ค่อนข้างสูง หากลงลึกไปในรายละเอียด เธอมีช่วงเสียงที่สูงในระดับเมซโซโซปราโน ซึ่งมีความแน่นของเสียงมากกว่าโซปราโน

ส่งผลให้เธอมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนอารมณ์เพลงได้หลากหลายและเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ดี

นี่คือจุดเด่นที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน มีมาตลอดระยะเวลาที่เขาถือไมค์ร้องเพลงให้กับวง Linkin Park และด้วยความกว้างของเสียงที่อยู่ในระดับ C3-D6 คือช่วงเสียงเมเจอร์สเกลจากโน้ต C ต่ำมาถึง C สูงจำนวน 8 โน้ต ซึ่งสูงถึง 3 Octave (8 โน้ตเท่ากับ 1 Octave โดย C ใช้เรียกโน้ตตัวโด และ D ใช้เรียกโน้ตตัวเร)

ซึ่งนอกจากเสียงเต็มโทนตามบันไดเสียงไดอะโทนิกแล้ว เธอก็ยังร้องโน้ตครึ่งเสียง (Semitone) ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

 

Crawling เป็นเพลงที่โชว์พลังเสียงของเอมิลี อาร์มสตรอง ได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะนี่คือหนึ่งในเพลงของวง Linkin Park ที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน ได้ฝากเสียงร้องที่มีช่วงเสียงของโน้ตที่ต่ำไปถึงระดับที่สูงสุดสุดได้โหดมาก

แน่นอนว่าช่วงเสียงของเอมิลี ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างกว้างและหนักแน่น แต่พลังการร้องให้เกิดเสียงแตก (Distortion) หรือการว้ากของเธอนั้นไม่มีทางที่จะสู้กับเชสเตอร์ได้

นอกจากนี้ พอถึงช่วงที่ต้องโหนเสียงร้องในโน้ตที่สูงมากๆ และต้องร้องแบบเสียงแตกด้วย เห็นได้ชัดว่าเสียงของเธอแกว่ง, โหนเสียงได้ไม่ค่อยถึงบางโน้นและเพี้ยนอยู่พอสมควร

มาถึงตรงนี้แล้วสาวกวง Linkin Park อย่าเพิ่งโกรธกัน เพราะหากวิจารณ์กันตามเนื้อผ้าแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เอมิลี อาร์มสตรอง ไม่ได้เข้ามาเพื่อที่จะแทนที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน

แต่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวง Linkin Park ในภาพลักษณ์ใหม่ (Rebranding) ต่างหาก

ซึ่งถ้าหากฟังเพลงใหม่ของวง Linkin Park อย่าง The Emptiness Machine แล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เอมิลีมีพลังเสียงที่โหดใช้ได้สำหรับนักร้องหญิงที่มาร้องเพลงร็อกกึ่งอัลเทอร์เนทีฟเมทัลที่ Linkin Park ทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับโทนเสียงธรรมชาติของเธอ

ซึ่งจากการฟังอย่างละเอียดจากทุกเพลงที่เธอร้องในโชว์รวมทั้งสิ้น 14 เพลง เอมิลีร้องโทนเสียงต่ำ (Chest Tone) ไปจนถึงโทนเสียงสูง (Head Tone) ได้ค่อนข้างเนี้ยบทีเดียว

ทั้งนี้เป็นเพราะไมค์ ชิโนดะ ได้เปลี่ยนคีย์เพลงของวงให้เข้ากับเสียงร้องของผู้หญิงมากขึ้นด้วย

แต่ในระยะยาว เอมิลีจะต้องมีการปรับวิธีการร้องพอสมวร เพราะพลังเสียงของเธอยังไม่หนักแน่นมากพอ สังเกตได้จากการทิ้งเสียงร้องในหลายๆ ท่อนจากทั้งโชว์

ไมค์ ชิโนดะ บอกกับเพื่อนร่วมวงว่าเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเวิร์กหรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งตัวของเขาเองก็ยังต้องปรับเสียงร้องของตัวเองใหม่เพื่อให้เข้ากับเสียงร้องของเอมิลี อาร์มสตรอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ผมพยายามที่จะร้องเสียงแตกให้ทรงพลังมากที่สุด แต่เสียงของผมไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเสริมเสียงร้องของเอมิลี ผมเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนใหม่”

ผลลัพธ์ก็คือ From Zero สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 ของวงจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางดนตรีกันขนานใหญ่

 

ทาง Billboard เผยว่า From Zero จะเป็นงานเพลงที่มีดนตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่, มีความงามทั้งในเรื่องของการสร้างท่วงทำนอง, เมโลดี และฮาร์โมนี ที่เต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ทางดนตรีที่มีความเฉพาะตัว มีสีสันของดนตรีแร็พ ร็อกหนักๆ เหมือนกับการนำส่วนที่ดีที่สุดของดนตรีเมทัลร่วมสมัย และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก จากอัลบั้ม A Thousand Suns (2010) และ The Hunting Party (2014) มาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน

และอาจจะมีกลิ่นอายของดนตรีนู เมทัล จากงานเพลง 2 ชุดแรกอย่าง Hybrid Theory และ Meteora รวมอยู่ด้วย

น่าเสียดายที่ร็อบ เบอร์ดอน มือกลองที่ร่วมหัวจมท้ายกับวง Linkin Park มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวงได้ตัดสินใจลาออกจากวงไป

โดยได้โคลิน บริทเทน ซึ่งเป็นทั้งนักดนตรี, โปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลงที่เคยทำเพลงให้กับวงร็อกและเมทัลชื่อดังอย่าง Papa Roach, 5 Seconds of Summer และ One Ok Rock มาเล่นกลองแทน

 

ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือในปัจจุบัน Linkin Park เป็นมากกว่าวงดนตรีชื่อดังวงหนึ่ง

แต่งานเพลงของพวกเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการตระหนักรู้ในเรื่องปัญหาสุขภาพจิต หลังจากที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน ที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตมาอย่างยาวนานได้ทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมปี 2017

ส่งผลให้แฟนเพลงได้นำเนื้อเพลงที่เชสเตอร์เคยแต่งไว้ทั้งหมดมาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและพบว่ามีบทเพลงของวง Linkin Park เป็นจำนวนมากที่แสดงให้เห็นถึงภาวะสิ้นหวังไร้ทางออกของนักร้องหนุ่มผู้ล่วงลับ

และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามหาแสงสว่างให้กับชีวิตมากแค่ไหนก็ตาม เชสเตอร์กลับไม่พบทางออกใดเลย

ที่น่าเศร้าก็คือชีวิตที่ดิ่งลงหุบเหวที่มืดมิดของเขาส่วนหนึ่งมาจากแฟนเพลงของวง Linkin Park บางส่วนที่ด่าทองานเพลงในระยะหลังของวงอย่างรุนแรง

จนเป็นอีกหนึ่งชนวนที่ทำให้เชสเตอร์ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง

 

เอมิลี อาร์มสตรอง เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวง Linkin Park เธอร้องเพลงของวงโปรดของเธอวงนี้ได้ทุกเพลง

เธอใช้เพลง One Step Closer ในการหัดร้องว้าก จนกระทั่งได้มาพบกับวงในดวงใจวงนี้เมื่อปี 2019 และได้ร่วมงานกันในที่สุด

ส่วนความไม่ลงรอยกันระหว่างแฟนเพลงของ Linkin Park ที่แบ่งขั้วออกเป็น 2 ฝั่งตั้งแต่วันแรกที่วงคัมแบ๊ก มีข้อความหนึ่งจากแฟนเพลงในโลกโซเชียลที่เตือนสติทุกๆ คนได้ดี ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า

“ทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เชสเตอร์จากพวกเราไป แต่เรากลับขาดสติจนลงมือทำในสิ่งที่ทำให้เชสเตอร์ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเกลียดชัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาก็ต่อต้านมันมาตลอดอย่างนี้น่ะหรือ?”

วง Linkin Park เปิดฉาก From Zero World Tour ด้วยโชว์แรกที่แอลเอไปแล้วในวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา และหลังจากนั้นก็จะเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตในนครนิวยอร์ก, ประเทศเยอรมนี, อังกฤษ, เกาหลีใต้ ตลอดทั้งเดือนกันยายน และจะปิดฉากทัวร์ที่ประเทศโคลอมเบีย ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยทางวงเผยว่าจะเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2025

ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะมีประเทศไทยอยู่ในลิสต์ทัวร์ปีหน้าหรือเปล่า