ศึกษาดูงานประเทศเกาหลีใต้ เหลียวหลังมองประเทศไทย

ช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานกับหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 รุ่นเดียวกันกับท่านนายกรัฐมนตรีท่านปัจจุบัน สมาชิกหลักสูตรจำนวน 150 คน แบ่งเป็น 5 เส้นทางในการศึกษาดูงาน กลุ่มผมได้ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศเกาหลีใต้

ประเทศเกาหลีใต้ หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) เป็นประเทศทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี มีเนื้อที่ประมาณ 100,032 ตารางกิโลเมตร เทียบกับประเทศไทยแล้วมีขนาดเพียง 1 ใน 5 ของประเทศไทย แต่มีประชากรมากถึง 52 ล้านคน และมีขนาด GDP ประมาณ 1.721 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าประเทศไทย 3 เท่า โดยประมาณ

ประวัติศาสตร์ของชาติเกาหลีใต้ มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของจีนและญี่ปุ่น และในยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดสงครามตัวแทนระหว่าง สหรัฐอเมริกา และโซเวียต ในปี ค.ศ.1943 สหรัฐอเมริกาเข้าควบคุมภาคใต้และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือของคาบสมุทรเกาหลี เกิดยุคสงครามเกาหลีขึ้น กินระยะเวลาเกือบ 10 ปีเต็ม กว่าจะมีการทำสนธิสัญญายุติสงครามในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ.1953

ซึ่งสนธิสัญญาครั้งนั้นฝ่ายเกาหลีใต้โต้แย้งมาโดยตลอด เพราะสนธิสัญญาดังกล่าวมีการลงนามจากฝ่ายเกาหลีเหนือโดย คิม อิล ซุง จากฝ่ายจีน และจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาในนามของสหประชาติ (UN) โดยไม่มีฝ่ายเกาหลีใต้ร่วมลงนามด้วย

 

คณะศึกษาดูงานได้เยี่ยมชมเขตปลอดทหาร หรือที่เรียกกันว่า DMZ (Demilitarised Zone) จากประวัติศาสตร์อันขมขื่น รัฐบาลเกาหลีใต้สามารถเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างน่าอัศจรรย์ ณ เส้นแบ่งเขตแดนที่เส้นรุ้ง 38 องศา (ที่ลากไม่ค่อยขนานกับเส้นรุ้งเท่าไหร่) ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนออกมาข้างละ 2 กิโลเมตร เป็นเขตปลอดทหาร (DMZ) ถัดจากนั้นออกมานิดหน่อย เกาหลีใต้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีการสร้างกระเช้าและพิพิธภัณฑ์เพื่อรำลึกถึงสงครามอันเลวร้ายครั้งนั้น ที่ครั้งหนึ่งคนเกาหลีด้วยกันเองต้องจับอาวุธห้ำหั่นระหว่างกันเอง

ระหว่างศึกษาดูงาน ณ เขตปลอดทหาร ทางคณะได้รับเกียรติจากคุณ ลี โช จิน ผู้จัดการการท่องเที่ยวของจังหวัดคย็องกี (Gyeonggi Province) เป็นผู้บรรยายพิเศษแก่คณะ ซึ่งปัจจุบันเธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งย้ายมาประจำการที่กรุงเทพมหานครในตำแหน่ง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวจังหวัดคย็องกีประจำประเทศไทย

นั่นจึงทำให้ผมทราบว่า ประเทศเกาหลีใต้มุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่ละจังหวัดมีการแข่งขันส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดของตนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ

นอกจากนั้น ยังมีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว

นับเป็นยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง

 

พอกล่าวถึงการท่องเที่ยวแล้ว คงจะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเศรษฐกิจของเกาหลีใต้คงจะเป็นไปไม่ได้

ในอดีต ปี ค.ศ. 1953 ภายหลังสงครามเกาหลี ประเทศเกาหลีใต้เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยในขณะนั้นมี GDP ต่อหัวต่ำกว่าประเทศเฮติและประเทศโซมาเลีย (ซึ่งแน่นอนว่าต่ำกว่าประเทศไทยด้วย) ปัจจุบัน 70 ปีผ่านไป GDP ต่อหัว แซงหน้าประเทศไทยไปไกลถึงกว่า 4 เท่า

จากอดีตอันขมขื่นทำให้ประชาชนร่วมใจสามัคคี ประเทศเกาหลีใต้มีความเป็นชาตินิยมในระดับเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น ประชาชนมักเลือกสนับสนุนสินค้าภายในประเทศมากกว่าการบริโภคสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และภาครัฐบาลมีวิสัยทัศน์พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถยืนหยัดและมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก

เนื่องด้วยคาบสมุทรเกาหลีมีความตึงเครียดด้านภัยความมั่นคงทั้งจาก จีน เกาหลีเหนือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา อยู่เสมอ เกาหลีใต้จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็สนับสนุนเพื่อให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการทหารเกิดขึ้นในประเทศ และสามารถผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงมากเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศ

จนในปัจจุบันเกาหลีใต้สามารถส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ทางทหารไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

 

คณะได้เยี่ยมชม บริษัท LIG Nex1 ซึ่งเป็นผู้ผลิตขีปนาวุธสัญชาติเกาหลีใต้ น่าเสียดายที่บริษัทไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือวิดีโอ จึงไม่สามารถนำมาให้ท่านผู้อ่านรับชมได้

ต่อจากนั้นได้เยี่ยมชมบริษัท DongAh Elecomm บริษัทผลิตอุปกรณ์ power supply และระบบไฟฟ้า ซึ่งผลิต power supply สำหรับเป็นชิ้นส่วนขีปนาวุธ และในขณะเดียวกันก็ผลิต power supply สำหรับเชิงพาณิชย์ควบคู่กัน

ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธที่สำคัญของรัฐบาล คือ การอุดหนุนเอกชนผ่านงบประมาณด้านการทหาร และผลลัพธ์คือเทคโนโลยีขั้นสูงในเชิงพาณิชย์เป็นผลพลอยได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ในการเยี่ยมชมบริษัท DongAh Elecomm รองประธานให้เกียรติบรรยายอย่างเปิดอกว่า ทุกอย่างเริ่มต้นที่วิศวกรรมย้อนรอย (Reverse Engineering) ทั้งนั้น มิฉะนั้นก็เริ่มนับหนึ่งไม่ได้ จากนั้นรัฐบาลต้องสนับสนุนสินค้าในประเทศ มิฉะนั้นจะไม่สามารถพัฒนาสินค้าเพื่อต่อยอดได้ และสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอคือ “ประสบการณ์หาซื้อไม่ได้” ฟังแล้วโดนใจวิศวกรอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง AIS DTAC และ True ต่างนำเข้าอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณ 5G LTE จากบริษัทนี้ และประเทศไทยยังไม่มีผู้ผลิตสินค้านี้ทั้งที่เป็นสินค้าที่จำเป็นในโครงข่ายโทรคมนาคม

 

ในด้านการเมือง คณะได้เยี่ยมชม กระทรวงรวมชาติ (Ministry of Unification) มีจุดมุ่งหมายเพื่อการรวมเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้น คณะได้เยี่ยมชม บ้านบลูเฮาส์ (Blue House) ซึ่งแปลมาจากภาษาเกาหลี คำว่า ชองวาแด (Cheongwadae) ซึ่งแปลตามคำศัพท์ว่า บ้านสีน้ำเงิน เป็นทำเนียบประธานาธิบดี ผมเถียงกับไกด์ว่าหลังคาน่าจะเป็นสีเขียวมากกว่าสีน้ำเงิน ซึ่งไกด์ก็เห็นด้วย ด้านหลังของบ้านบลูเฮาส์เป็นภูเขาบกฮันซาน จึงคาดว่าน่าจะมีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม แต่กลับมีประธานาธิบดีที่ประสบความสำเร็จทางการเมืองเพียงไม่กี่ท่าน และส่วนใหญ่จบชีวิตทางการเมืองไม่สวยงาม

ปัจจุบัน ประธานาธิบดี ยุน ซ็อก-ย็อล ได้ส่งมอบบ้านบลูเฮาส์คืนให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นพื้นที่สาธารณะ และย้ายทำเนียบประธานาธิบดีไปที่อื่น ซึ่งมีข่าวแว่วมาว่าเชื่อหมอดู จริงเท็จประการใดไม่อาจทราบได้

ประธานาธิบดี ยุน ซ็อก-ย็อล เคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในรัฐบาลประธานาธิบดี มุน แจ-อิน และเคยประกาศว่าจะไม่ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่สุดท้ายต้องยอม “เสียสัตย์เพื่อชาติ”

ขากลับผมแยกตัวไปห้างปลอดภาษีใกล้ๆ สนามบิน จึงทำให้ผมได้รู้ว่า “Cash is king” ใช้ไม่ได้ที่เกาลหลีใต้ เพราะขึ้นรถเมล์ต้องจ่ายเงินผ่านบัตรเท่านั้น ไม่รับเงินสด สุดท้ายจึง “อดขึ้น” เกือบตกเครื่องบิน

เสียดายที่พื้นที่หมดลงแล้ว จึงไม่ได้เล่าถึงพลังของ Soft Power ของเกาหลีใต้ พลังแบรนดิ้งที่ทรงอานุภาพที่สุดของเอเชีย