พิธีกรรมหลังความตาย หลายพันปี

พิธีกรรมหลังความตายหลายพันปีมาแล้ว มี 2 ระดับ ได้แก่ ระดับทั่วไป กับระดับคนเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์และเครือญาติโคตรตระกูล

ระดับคนทั่วไป เมื่อมีคนตายก็เอาร่างวางไว้สถานที่กลางแจ้งของชุมชนที่จัดไว้ให้แร้งกากินตามความเชื่อทางศาสนาผี ว่าแร้งเป็นสัตว์มีปีก บินได้ แล้วพาขวัญไปอยู่สถานที่พิเศษ

ระดับหัวหน้าเผ่าพันธุ์ ต้องเก็บศพนานหลายวัน และมีการละเล่นอึกทึกครึกโครม ซึ่งมีข้อปลีกย่อยมากต้องอธิบายต่อไป

พระปิ่นเกล้าฯ พระศพงอเข่าอยู่ในพระโกศ หลังสวรรคต พ.ศ.2409 (ซ้าย) ลายเส้นจำลองฝีมือชาวฝรั่งเศส (กลาง) โกศยุคปัจจุบัน (อยู่ข้างในพระลองหุ้มประกอบ) ทรงเดียวกับไหใส่ศพ เหมือน “แคปซูล” พบที่ทุ่งกุลา (ขวา) พระลองหุ้มประกอบพระโกศ (ที่อยู่ข้างใน)

1. เก็บศพนานหลายวัน

ต้นตอจากความเชื่อทางศาสนาผี ดังนี้

(1.) มนุษย์ประกอบด้วย 2 สิ่ง ได้แก่ สิ่งมีตัวตน คือร่างกาย (บางทีเรียกมิ่ง) และสิ่งไม่มีตัวตน คือขวัญ

(2.) คนตาย เพราะขวัญหาย ไม่อยู่กับตัวตนร่างกาย ซึ่งเท่ากับคนนั้นตาย ส่วนขวัญไม่ตาย แต่ไม่อยู่กับตัว เหตุจากขวัญตกใจออกจากร่าง แล้วหาทางกลับเข้าร่างไม่ถูก

(3.) ดังนั้น ต้องเก็บร่างคนตายรอขวัญคืนร่าง คนตายจะฟื้นคืนปกติ

[การเก็บศพนานหลายวัน เป็นประเพณีงานศพที่สืบเนื่องอยู่ในไทยทุกวันนี้]

หม้อไหใส่ศพและกระดูกคนตาย ฝังในดิน ราว 2,500 ปีมาแล้ว พบที่บ้านเมืองบัว ต.เมืองบัว อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

2. การละเล่นอึกทึกครึกโครม

คนตาย เพราะขวัญหายออกจากร่าง แล้วหาทางคืนร่างไม่ถูก ทำให้เมื่อชนชั้นนำตาย บรรดาชุมชนต้องร่วมกันดีดสีตีเป่า ร้องรำทำเพลง ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ด้วยหวังว่าเมื่อขวัญได้ยินแล้วขวัญจะหาทางคืนร่างตามเสียงเหล่านั้น

แต่ขวัญไม่เคยกลับคืนร่าง ดังนั้นเมื่อเก็บศพนานหลายวันจนมั่นใจว่าขวัญไม่คืนร่างแน่แล้ว ชุมชนจึงมีพิธีฝังศพบนลานกลางบ้านซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน แล้วสร้าง “เฮือนแฮ้ว” หรือ “เฮือนเฮ่ว” คือเรือนจำลอง (หรือ “เรือนเสมือน” ที่เคยอยู่เมื่อมีชีวิต) โดยให้เสาเรือนทั้ง 4 คร่อมหลุมศพ คือสัญลักษณ์เป็นที่อยู่ของขวัญตามปกติเหมือนตอนยังไม่ตาย

จากนั้นมีพิธีส่งขวัญขึ้นฟ้าไปรวมพลังกับผีฟ้าผีแถน เพื่อคุ้มครองเผ่าพันธุ์ ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลเกิดความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ธัญญาข้าวปลาอาหาร และกำจัดโรคภัยไข้เจ็บเหน็บเหนื่อยให้คนทั้งชุมชน

[ชุมชนสองฝั่งโขงมีประเพณี “งันเฮือนดี” หมายถึงมีขับลำเป็นทำนองสนุกสนาน ซึ่งสืบเนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมหลายพันปีมาแล้วที่ยกมานั้น รวมทั้งงานศพชนชั้นนำทุกวันนี้มีสืบเนื่องจากดึกดำบรรพ์เป็นมหรสพ เช่น โขน, ละคร, ลิเก, หมอลำ, ลูกทุ่ง, ภาพยนตร์กลางแจ้ง ฯลฯ ชาวบ้านทั่วไปมีปี่พาทย์งานศพเท่านั้น]

ภาชนะดินเผามีฝาปิด และมีคอคอด (รูปร่างคล้ายน้ำเต้า) บรรจุกระดูกมนุษย์ ราว 2,500 ปีมาแล้ว พบในแหล่งโบราณคดีเขตทุ่งกุลาร้องไห้ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด (ภาพจากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไทย กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2557 หน้า 44)

ครรภ์มารดาเหมือนผลน้ำเต้า

มนุษย์เกิดจากครรภ์มารดา เมื่อตาย คือการคืนสู่ครรภ์มารดา

หลายพันปีมาแล้ว มนุษย์เชื่อว่าผลน้ำเต้าเหมือนครรภ์มารดา จึงมีเรื่องเล่าว่าคนเราเกิดจากน้ำเต้า เมื่อตายก็ต้องคืนสู่น้ำเต้า จึงทำภาชนะดินเผารูปน้ำเต้าใส่กระดูกคนตายแล้วฝังดินไว้

ภาชนะดินเผามีฝาปิดรูปน้ำเต้า บรรจุกระดูกคนตาย ราว 2,500 ปีมาแล้ว ขุดพบที่บ้านเมืองบัว อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด เป็นหลักฐานยืนยันว่าความเชื่อเรื่องนี้มีจริง และเรื่องเล่าสืบเนื่องมาจริง

[ชาวสยามลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใช้หม้อดินเผา รูปคล้ายน้ำเต้า บรรจุอัฐิสืบต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เรื่องเล่าแม่นาคพระโขนง]

ไหดินเผาใส่กระดูกคนตายฝังดินแนวตั้ง พบที่บ้านเมืองบัว ต.เมืองบัว อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

ร่างคนตายใส่ภาชนะฝังดิน

คนทุ่งกุลา 2,500 ปีมาแล้ว มีพิธีกรรมหลังความตายของชนชั้นนำ ดังนี้ (ก.) ร่างคนตายใส่ภาชนะดินเผา แล้วฝังดิน และ (ข.) กระดูกคนตายใส่ภาชนะดินเผา แล้วฝังดิน

ภาชนะดินเผารูปร่างทรงกระบอก (คล้ายแคปซูล) พบทั่วไปแถบทุ่งกุลาร้องไห้

[ภาชนะดินเผาใส่ร่างคนตายหรือใส่กระดูกคนตาย เป็นต้นแบบพระโกศทุกวันนี้ตามประเพณีราชสำนักไทย] •

หม้อไหแบบต่างๆ ใส่ศพและใส่กระดูกคนตาย ราว 2,500 ปีมาแล้ว เป็นต้นแบบโกศยุคหลังๆ สืบจนปัจจุบัน พบที่บ้านเมืองบัว ต.เมืองบัว อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด (ลายเส้นของกรมศิลปากร)