ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
กลางการเมืองร้อนๆ เปลี่ยนมาเป็นรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” กองทัพกำลังลุ้นเรื่องใหญ่ตอนนี้ คือ เส้นทางของโผโยกย้ายทหาร จะผ่านมือ “สหายใหญ่” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมคนใหม่ อย่างไร หลังนายกฯ นำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ 6 กันยายน และจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 11 หรือ 12 กันยายนนี้
เหตุเพราะโผทหารจะต้องเสร็จสิ้นก่อน 15 กันยายน 2567 เพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อนที่จะมีผล 1 ตุลาคม 2567 หลังจากที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ประชุมบอร์ด 6 เสือกลาโหมไปแล้วเมื่อ 3 กันยายน ก่อนที่จะมีโปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ 4 กันยายน
แต่ยังไม่จบ เพราะตำแหน่ง ผบ.ทร. และ 5 ฉลามทัพเรือ ยังไม่ลงตัว เพราะมีการทักท้วงคุณสมบัติของบิ๊กแมว พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. ที่ถูกเสนอชื่อโดยบิ๊กดุง พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. ให้เป็น ผบ.ทร.คนใหม่
เนื่องจาก มีแคนดิเดต ผบ.ทร.ในระดับ 5 ฉลาม ถึง 3 คน ที่มีความสามารถ เติบโตมาตามไลน์ ตามธรรมเนียม ทร.อยู่แล้ว ทั้ง พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ทร. บิ๊กโอ๋ พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผช.ผบ.ทร. และบิ๊กน้อย พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสธ.ทร. ที่ล้วนจบโรงเรียนนายเรือ
แต่ พล.ร.อ.อะดุง กลับเสนอที่ปรึกษาพิเศษ ทร. ที่ไม่ใช่ตำแหน่งหลัก และจบจากโรงเรียนนายเรือเยอรมัน ที่ขัดประเพณี ทร.ที่คนจบต่างประเทศจะไม่สามารถขึ้นเป็น ผบ.ทร.ได้
และเส้นทางรับราชการไม่เคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารในต่างประเทศ
ส่วนตำแหน่งหลักเคยเป็นเพียง ผบ.กองเรือยามฝั่ง และรองเจ้ากรมยุทธศึกษา ทร.
แต่มีรายงานว่า ทาง ทร.ยืนยันว่า ไม่มีระเบียบใดระบุห้ามคนจบต่างประเทศเอาไว้ เพราะ ผบ.ทหารสูงสุด ก็จบต่างประเทศ ผบ.ทอ.ที่ผ่านมาหลายคนก็จบต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาล พรรคเพื่อไทยกำลังเอ็กซเรย์ หานายทหารที่เป็นสายอำนาจของบ้านป่ารอยต่อฯ เพราะในทางการเมือง ก็เขี่ยพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไปแล้ว
เป้าหมายต่อไปคือการ สกัดกั้นนายทหารในสายบ้านป่ารอยต่อฯ จนมีการมองกันว่าการที่ พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะเป็นสายบูรพาพยัคฆ์ สายบ้านป่ารอยต่อฯ ด้วยหรือไม่
ขณะที่ พล.ร.อ.อะดุง เองก็ถูกมองว่าได้เป็น ผบ.ทร.เพราะสายบ้านป่ารอยต่อฯ สนับสนุนมา ตั้งแต่ยุคที่บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ได้ข้ามจากรองปลัดกลาโหม กลับไปเป็น ผบ.ทร. ด้วยการสนับสนุนของ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 20 ในเวลานั้น ซึ่งเป็นมือขวาของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ในเวลานั้นยังมีอำนาจอยู่ในรัฐบาล
ก่อนที่จะสืบทอดอำนาจมาต่อเนื่อง ด้วยการตั้งบิ๊กจ๊อด พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ เป็น ผบ.ทร. และต่อด้วย พล.ร.อ.อะดุง และจะต่อด้วย พล.ร.อ.จิรพล ในครั้งนี้ เพื่อสานต่อโครงการเรือดำน้ำจีน ที่ก่อกำเนิดโครงการมาในยุคที่ พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกฯ และ รมว. กลาโหม ในยุครัฐบาล คสช.
การประชุมบอร์ด 6 เสือกลาโหมวันนั้น จึงมาราธอน ยาวนานถึง 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่การประชุมบอร์ดโยกย้ายทหารจะใช้เวลานานถึงขนาดนี้ เพราะยังตกลงกันไม่ได้ เพราะ พล.ร.อ.อะดุง ยืนยันข้อเสนอเดิม และไม่ต้องการให้มีการโหวต
ท่ามกลางการจับตามองว่า ผบ.เหล่าทัพ จะเดินเกมอย่างไร ในการเร่งรัดโผทหารให้จบก่อน รมว.กลาโหมคนใหม่ปฏิบัติหน้าที่ งานนี้ บิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม ที่ก็เป็นสายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ ลูกรักของ พล.อ.ประวิตร เป็นหลักในการจัดโผทหาร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีประชุม 7 เสือกลาโหมอีกครั้ง เพื่อลงนามท้ายบัญชีร่วมกัน
ในเมื่อนายสุทิน และ ผบ.เหล่าทัพ ยังไม่ได้ลงนามในบัญชีโยกย้าย เพราะยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ดังนั้น จึงต้องให้นายภูมิธรรม และ พล.อ.ณัฐพล ประชุมอีกครั้ง ที่ครั้งนี้จะกลายเป็นบอร์ด 7 เสือกลาโหม
แต่น่าจับตามองว่า หลังประชุมโผทหารแล้ว ผบ.เหล่าทัพเดินทางไปต่างประเทศ ทั้ง ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไปเยือนลาว พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ไปออสเตรเลีย โดยเฉพาะ พล.ร.อ.อะดุง ไปยุโรปยาว กลับมาหลัง 15 กันยายนเลยทีเดียว
ดังนั้น นายภูมิธรรมต้องรอ ผบ.เหล่าทัพมาพร้อมกันจึงจะประชุมได้
แต่หาก ผบ.ทร.ไม่กลับมาก่อน 15 กันยายน ก็อาจเป็นเกมให้ใช้บัญชีรายชื่อเดิมที่ส่งไว้แล้ว
สําหรับ พล.อ.เจริญชัย แล้วถึงขั้นยอมยกเลิกเดินทางไปออสเตรเลีย เพื่ออยู่เฝ้าโผทหาร หากมีการเรียกประชุม และเส้นทางโผผ่าน เพราะอาจถูกเรียกตัวหารือได้ทุกเมื่อ และรู้ว่ายังมีความเคลื่อนไหวในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ทุกขณะ
เพราะในส่วนของกองทัพบกก็เกิดความฮือฮา เพราะแม้เก้าอี้ ผบ.ทบ.จะลงตัวแล้วเพราะ พล.อ.เจริญชัย ยืนยันชื่อบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เสนาธิการทหารบก ตามที่ได้เสนอมา
แต่แรงกดดันที่ถาโถมใส่จากหลายทิศทาง ทำให้ พล.อ.เจริญชัย ต้องเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นบิ๊กใหญ่ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพน้อยที่ 1 ตท.27 สายทหารเสือราชินีคอแดงลูกรักลุงตู่ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน เดิมที่จะให้รองไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ และรองกอล์ฟ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 จาก ตท.28 ยึดทั้งแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพน้อยที่ 1
ทำให้แผนการวางตัวบุคคลจะเป็น ผบ.ทบ. ของสายอีลีต และ ตท.28 เปลี่ยนไป เพราะหาก พล.ท.อมฤต เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 โอกาสที่จะเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.พนา ที่เกษียณกันยายน 2570 ก็มีสูงกว่า แม้ว่าอาจจะไปแซงกันที่ 5 เสือ ทบ.ได้ก็ตาม
กล่าวกันว่า ก่อนประชุมบอร์ดโยกย้าย พล.อ.เจริญชัย ถูกเรียกตัวไปพบผู้ใหญ่คนหนึ่งที่บ้านพัก ประกอบกับการที่คนในครอบครัวได้รับผลกระทบจากเกมชิงอำนาจใน ทบ.ด้วย จึงทำให้ พล.อ.เจริญชัย เปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญ
การจัดโผทหารครั้งนี้ จึงกลายเป็นโผข้ามรัฐบาล จากยุคนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายสุทิน รมว.กลาโหม ข้ามมาสู่ยุคนายกฯ อิ๊งค์ และบิ๊กอ้วน บิ๊กเล็ก วัดพลังและบารมีด้วยว่า จะทำให้ ผบ.เหล่าทัพ เกรงใจได้หรือไม่
การประชุมครั้งนี้ ไม่ได้จัดขึ้นที่ห้อง รมว.กลาโหม เช่นที่เคย แต่จัดที่ห้องรับรองปีกปลัดกลาโหม และห้ามไม่ให้นำมือถือเข้าประชุม เพราะกลัวมีการอัดเสียงไว้เป็นหลักฐาน แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่ามีเครื่องอัดเสียงหรือไม่
มีรายงานว่า หลังการประชุมผ่านไปได้ 2 ชั่วโมง พล.อ.ทรงวิทย์ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ได้ออกมาก่อนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย โดยที่ในส่วนของกองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพอากาศ ยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพ แต่มีการวางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาแทนโยกย้ายตุลาคม 2568 จึงไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก
แต่จากนั้นไม่นานปรากฏว่า พล.อ.ทรงวิทย์ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ถูกเรียกกลับที่ประชุมอีกครั้ง โดยใช้เวลาประชุมต่ออีกราว 1 ชั่วโมง กว่าจะจบสิ้นในเวลาประมาณ 17.00 น. โดยทั้งหมดได้แยกย้ายเดินทางกลับทันที
แต่ในวันนั้น ช่วงก่อนเที่ยง มีความเคลื่อนไหวในห้องทำงานปีกปลัดกลาโหม บรรดา ตท.24 ทยอยมาพบปะรวมตัวกัน โดย พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ผบ.ทอ. มาก่อนเวลานาน ตามมาด้วย พล.อ.ทรงวิทย์ จนเกิดกระแสข่าวสะพัดกลาโหม ว่า ตท.24 รวมตัวแสดงกำลัง เพื่อสนับสนุนให้เพื่อนร่วมรุ่นได้เป็น ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร.
เพราะมี ตท.24 เป็นแคนเดิเดต ผบ.ทบ.ถึง 2 คน ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผช.ผบ.ทบ. ทหารบูรพาพยัคฆ์คอแดง และบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผช.ผบ.ทบ. สายบุ๋นคอเขียว
แต่ พล.อ.เจริญชัย ตท.23 ยืนยันเสนอชื่อ พล.อ.พนา เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่
อย่างไรก็ตาม ตท.24 ก็ผลักดันให้ พล.อ.อุกฤษฎ์ คนเก่งของรุ่น ข้ามไปเป็นเลขาธิการ สมช. แทนบิ๊กรอย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.24 ที่จะเกษียณ โดยจะเป็นยาวยันเกษียณ 2570 เลยทีเดียว ที่จะทำให้รองฉัตร นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาฯ สมช. ที่จ่อคิวรอมาหลายปี หมดโอกาสเป็นเลขาฯ สมช. เพราะเกษียณ 2570 เช่นกัน
ขณะที่ใน ตท.24 ก็ตั้งข้อสังเกตว่า พลังของ ตท.24 ที่มีทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทอ. ไม่ได้พยายามที่จะผลักดัน ตท.24 ใน ทร. อย่าง พล.ร.อ.วรวุธ อาจเพราะเห็นว่า พล.ร.อ.อะดุง ยืนกรานที่จะเสนอเพื่อน ตท.23 แบบหัวชนฝา
ที่กำลังถูกจับตามองอีกเรื่องคือ การมาเป็น รมว.กลาโหม ของสหายใหญ่ นายภูมิธรรม อดีตคนเดือนตุลาฯ ที่เคยเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพราะก่อนมาก็ถูกทหารเก่า และทหารผ่านศึก ต่อต้าน แต่ก็ไม่มีผลใด อีกทั้งนายภูมิธรรมยืนยันว่า ตลอดเวลากว่า 50 ปีไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความคิดทางการเมืองแบบนี้เลย ขอให้อย่ากังวล อีกทั้งเวลานั้นก็มีนิสิตนักศึกษาหลายสถาบัน หนีการถูกใช้ความรุนแรง เข้าป่าด้วยเช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่านายภูมิธรรม คือสายตรงของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีมากที่สุดในฝ่ายการเมือง ณ เวลานี้ จึงย่อมต้องมีธงในการมาคุมกลาโหมครั้งนี้ เพราะนายทักษิณเอง และน้องสาว ก็เคยถูกรัฐประหารมา 2 ครั้ง จึงย่อมต้องการที่จะปฏิรูปกองทัพ ไม่ให้มีบทบาททางการเมืองหรือก่อการรัฐประหารขึ้นอีก
เพราะนายสุทินเป็น รมว.กลาโหมก็มีธงมาจากพรรคเพื่อไทยในการร่างแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 เพื่อสกัดกั้นการรัฐประหารโดยการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีผ่านคณะรัฐมนตรีในการสั่งพักราชการ หรือโยกย้ายนายทหารที่คิดก่อการรัฐประหาร
โดยนายสุทินได้ผลักดันจนผ่านสภากลาโหมและรอเข้า ครม. เพื่อให้เป็นร่างของรัฐบาล เสนอให้สภาพิจารณาแข่งกับร่างของพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาชน และร่างของภาคประชาสังคม
แต่เพราะรัฐบาลนี้ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ดีล” รัฐบาลผสมข้ามขั้วจึงยังไม่มีความขัดแย้ง ที่เป็นนัยยะสำคัญระหว่างกองทัพกับรัฐบาล เพราะอย่างน้อยก็มีบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ สายตรงลุงตู่ และเพื่อนรัก ตท.20 ของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. มาเป็น รมช.กลาโหม
ในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการมาช่วยงานนายภูมิธรรม ซึ่งเป็นพลเรือน เพราะ พล.อ.ณัฐพล มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทหาร ความมั่นคง แล้วก็เป็นเลขานุการ รมว.กลาโหมในยุคนายสุทิน มาตลอด 1 ปี
แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะเป็นการคานอำนาจกันเอง เพราะแม้ พล.อ.ณัฐพลจะเป็นรัฐมนตรีช่วย และเป็นทหาร แต่ก็ไม่สามารถเซ็นอนุมัติได้ทุกเรื่อง เพราะส่วนใหญ่จะต้องให้นายภูมิธรรมเป็นคนเซ็นอนุมัติ ในขณะเดียวกัน พล.อ.ณัฐพล ก็ต้องคอยสอดส่องดูแลการทำงานของนายภูมิธรรมและแนวทางที่จะปฏิบัติต่อกองทัพด้วยเช่นกัน
โดยเป็นที่จับตามองในการวางตัวทีมงานหน้าห้อง รมว.กลาโหม และ รมช.กลาโหม ที่มีกระแสข่าวว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ กำลังช่วยคัดตัวทหารเก่า และทหารในราชการมาช่วยงานดูแลกลาโหมให้นายภูมิธรรม
โดยมีชื่อของเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนร่วมรุ่นของนายทักษิณหลายคนถูกเสนอมา ในจำนวนนี้มีบิ๊กหมี พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัศมี์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. ที่จะมาเป็นเลขานุการ รมช.กลาโหม ประกบ พล.อ.ณัฐพล อีกชั้นหนึ่ง เพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวและแนวทางการทำงาน ที่อาจถูกมองว่า พล.อ.ณัฐพล ย่อมต้องอึดอัดไม่น้อยหากคนของรัฐบาลถูกส่งมานั่งหน้าห้อง
เพราะก่อนหน้านี้ นายทักษิณได้ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นเตรียมทหารรุ่น 10 และได้บอกให้เพื่อนร่วมรุ่นรวมตัวกันไว้ และให้มีการพบปะกันทุกเดือนโดยที่ตนเองจะมาร่วมด้วยหากว่าง โดยเพื่อนร่วมรุ่นต้องการให้นายทักษิณเป็นประธานรุ่น แต่นายทักษิณขอเป็นแค่ประธานที่ปรึกษารุ่น ตท.10 เท่านั้น
การมาเป็น รมว.กลาโหมของนายภูมิธรรม สายตรงอดีตนายกฯ ทักษิณ และเป็นคีย์แมนของพรรคเพื่อไทย ย่อมแตกต่างจากนายสุทิน รมว.กลาโหมพลเรือน คนที่มาแบบเดี่ยวๆ ในฐานะนักการเมืองลูกอีสานครูบ้านนอก อาจไม่มีพลังในการต่อรองกับกองทัพเท่าใดนัก
แต่เมื่อเป็นนายภูมิธรรมแล้ว มีความน่าเกรงขาม โดยก่อนหน้านี้ได้มีการพบปะ ผบ.เหล่าทัพมาแล้ว เพื่อพูดคุยแนวทางการทำงาน จนนายภูมิธรรมมั่นใจว่าสามารถทำงานกับกองทัพได้
เกมรุกคืบเข้ากลาโหมของนายทักษิณ สายเลือดเตรียมทหาร โดยการส่งนายภูมิธรรมมาเป็นสนามไชย 1 ครั้งนี้
จนมองกันว่า นายทักษิณ นอกจากเป็นนายกฯ เงาแล้ว ยังเป็น รมว.กลาโหมเงาอยู่เบื้องหลังอีกด้วย