ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดเทอมภาคเรียนแรกแล้ว จากแต่เดิมในสมัยที่ผมเป็นนิสิตอยู่นั้น การเปิดภาคเรียนภาคแรกอยู่ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน แต่หลายปีที่ผ่านมา ปฏิทินการศึกษาระดับอุดมศึกษาเปลี่ยนไปมากครับ
การเปิดภาคเรียนภาคแรกย้ายมาเป็นต้นเดือนสิงหาคมเสียแล้ว ด้วยคำอธิบายว่าเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินการศึกษาของประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะได้มีการแลกเปลี่ยนครูบาอาจารย์และนิสิตนักศึกษากัน
นี่ก็เปลี่ยนปฏิทินมาหลายปีแล้ว ไม่ทราบว่าได้แลกเปลี่ยนอะไรอย่างอื่นกันไปถึงไหนแล้ว
แต่ไม่เป็นไรครับ จะแลกหรือจะเปลี่ยนกันมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่ หน้าที่ของคนต้องสอนหนังสือ เมื่อทางคณะแจ้งมาว่าให้ไปสอนวันที่เท่านั้นเท่านี้ เราก็ไปทำหน้าที่ของเราให้ครบถ้วน
ตัวอย่างเช่น วันนี้ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เพราะมีชั่วโมงสอนตอน 8 โมงเช้าถึง 10 โมงเช้า นักเรียนหลายคนทำท่าเหมือนลุกจากที่นอนแล้วย้ายมานั่งเก้าอี้ในห้องเรียนแบบสดๆ ร้อนๆ เลย ไม่เป็นไรครับ มาเรียนก็ดีแล้ว
เมื่อสอนหนังสือเสร็จก่อนที่จะเดินทางไปประชุมราชการที่อื่นต่อไป ที่บริเวณลานจอดรถของคณะนั่นเอง ผมพบกับอาจารย์ที่เป็นทั้งรุ่นน้องและเป็นลูกศิษย์สำเร็จรูปอยู่ในตัวคนเดียว กำลังเดินขึ้นมาบนอาคารของคณะ ทำให้การสนทนาสั้นๆ เกิดขึ้น
แน่นอนครับว่าเป็นการถามไถ่เรื่องสุขภาพเป็นเบื้องต้น และมีเรื่องอื่นๆ แถมเข้ามาในวาระด้วย
อาจารย์ท่านนั้นปรารภว่าได้ติดตามอ่านงานเขียนเกี่ยวกับประวัติชีวิตของผมที่เขียนอยู่ใน Facebook ติดต่อกันมาสองสัปดาห์แล้ว และขอยุยงส่งเสริมให้ผมเขียนต่อไปให้ตลอดเรื่อง ซึ่งผมมีความตั้งใจจะเขียนให้ไปขมวดจบลงตามสมควรแก่กรณีในเวลาที่ผมอายุใกล้แซยิดหกรอบในอีกสองสามปีข้างหน้าอยู่แล้ว
อาจารย์คนดังกล่าว หรือจะเรียกว่ารุ่นน้องคนนั้นก็ไม่ผิดจากความจริง บอกว่าได้รู้จักกันกับผมมาตั้งแต่ปี 2525 นับถึงปัจจุบันก็ 40 กว่าปีเข้าไปแล้ว
เธอเห็นว่าเรื่องราวที่ผมเขียนน่าจะเป็นตำราชีวิตที่มีประโยชน์ และเป็นประสบการณ์ที่เป็นบทเรียนสำหรับคนรุ่นหลังจะได้อ่าน ได้ศึกษา
ส่วนจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่ผู้อ่านจะเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเขาเอง
ผมเองเป็นคนบ้ายุเสียด้วย พอรุ่นน้องพูดอย่างนั้นก็เออออห่อหมกเป็นธรรมดา
ในเวลาที่มีจำกัดระหว่างบทสนทนาสั้นๆ นั้นเอง อาจารย์ผู้ที่รู้จักผมมากว่าครึ่งค่อนของชีวิตได้แสดงทัศนะว่า ในสายตาของเธอแล้ว ผมเป็นคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แน่นอนว่าหลายสิบปีที่ผ่านมามีทั้งช่วงเวลาที่ชีวิตผมรุ่งโรจน์ และมีบางช่วงเวลาที่คนทั้งหลายเห็นว่าผมมีชีวิตที่รุ่งริ่ง สลับสับเปลี่ยนกันไปมา ถ้าการเขียนเป็นเส้นกราฟก็มีทั้งขาขึ้นและขาลง ใช่ว่าจะมีแต่เส้นกราฟขาขึ้นเสียที่ไหน
แต่เธอเฝ้าสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ผมสามารถอยู่กับสถานการณ์เหล่านั้นและมีความสุขกับชีวิตของตัวเองได้ โดยไม่ทุกข์ร้อนทุรนทุราย นับว่าเป็นแบบอย่างของผู้ใหญ่ที่ใช้ได้เลยทีเดียว
เมื่อมีรุ่นน้องมาพูดอย่างนี้ ผมมันก็ต้องเขินอยู่นิดหน่อยพอสังเขป แต่แล้วก็ยิ้มร่ารับความจริงว่า
“พี่เป็นคนอย่างนั้นเอง”
เผลอไปเพียงแค่วูบเดียว นี่ก็ถึงเดือนกันยายนปีพุทธศักราช 2567 แล้ว นับนิ้วดูจะพบว่าผมเกษียณอายุราชการมาครบเก้าปีบริบูรณ์นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2558 เป็นต้นมา
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีข้าราชการรุ่นน้องที่เกษียณอายุเดินตามผมมาในเส้นทางคนนอกราชการอีกจำนวนไม่น้อย
ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ สำหรับผู้ที่ต้องเปลี่ยนสถานภาพจากสิ่งที่เคยเป็น เคยสวมบทบาทมายาวนาน อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้สูงอายุนอกราชการแบบผมแล้ว
สำหรับหลายคนที่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้วย่อมสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้แบบสบายมาก แต่ก็มีบางคนที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับชีวิตหลังเกษียณ ไม่เป็นไรครับ อีกหน่อยก็ชินไปเอง ฮา!
พูดถึงเป้าหมายในชีวิตของคนเราแล้ว เมื่ออายุถึงขีดขั้นที่ต้องเกษียณจากการทำงานประจำ อาจมีบางท่านย้อนถามตัวเองว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้ไปถึงจุดมุ่งหมายที่เราอยากจะทำเรียบร้อยแล้วหรือยัง
แน่นอนว่าคำตอบนั้นย่อมมีทั้งมุมลบและมุมบวก แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะตอบคำถามของตัวเองอย่างไร
คำตอบสำหรับคำถามปลายเปิดอย่างนี้ ไม่มีผิดถูก และไม่มีอาจารย์ให้คะแนนกระดาษคำตอบแผ่นนี้เสียด้วย เราต้องเป็นคนให้เกรดและให้เกียรติตัวเองครับ จะมีตำแหน่งอะไรสูงต่ำเพียงใดแค่ไหน สุดท้ายแล้วตัวเราก็คือตัวเรา
ถ้าคิดจะใส่เครื่องแบบตลอดชีวิต ไม่มีเวลาถอดเลย ผมว่าใส่เครื่องแบบเข้านอนนี่น่าจะนอนหลับไม่สบายตัวนะครับ
คํ่าวันก่อน เป็นช่วงเวลาเย็นวันอาทิตย์ ตลอดวันทั้งวันผมไม่ได้เหน็ดเหนื่อยไปธุระข้างไหน หลังจากกินข้าวแล้วจึงอยากดูหนังขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง สมัยนี้ไม่ต้องแต่งตัวไปโรงหนังเสียด้วย แค่กดปุ่มบนเครื่องบังคับโทรทัศน์ที่อยู่ในอุ้งมือ หนังสนุกหลายเรื่องก็พร้อมให้บริการแล้ว
เมื่อวานผมดูหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เข้าฉายในระบบเน็ตฟลิกซ์ เป็นภาพยนตร์ไทยแต่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งว่า Hunger ซึ่งผมขออนุญาตแปลเองว่า น่าจะมีชื่อภาษาไทยว่า “กระหายหิว”
และในที่นี้ เพื่อไม่ให้เป็นการบ่อนทำลายความสนุกของท่านที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ และคิดจะได้ดูต่อไป ผมจะไม่เล่าเรื่องย่อนะครับว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
ผมมีเพียงประเด็นที่ขอตั้งข้อสังเกตไว้เป็นการส่วนตัว และน่าจะไม่ใช่ประเด็นที่มีอยู่แต่เฉพาะในหนังเรื่องนี้เท่านั้น หากแต่เป็นประเด็นหรือเหตุการณ์ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นอยู่กับคนจำนวนมากรายรอบตัวเรา และถ้าเราใจกล้าเพียงพอ เราคงต้องยอมรับด้วยว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น ไม่แตกต่างกันกับเพื่อนร่วมโลกของเราอีกจำนวนมากเลย
ความคิดอะไรหรือครับ
ความคิดที่ผู้หลักผู้ใหญ่สั่งสอนเรามาตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก หรือแม้ไม่มีใครสอนเราก็อาจจะคิดของเราเองก็ได้
นั่นคือความคิดว่าเราจะต้องมีความเจริญก้าวหน้า เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา มีชื่อเสียง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้น ควรมีสตางค์มากๆ ด้วย ชีวิตแบบนี้แหละคือความสมบูรณ์พูนสุขที่ปรารถนา
ก็ที่ไปไหว้พระแล้วอธิษฐานขอพรกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นการขอพรเพื่อให้สมปรารถนาอย่างที่เราขานรายการมาข้างต้นไหมล่ะครับ ทุกวันนี้เวลาไปไหว้พระ คนหมู่มากไม่ได้ไหว้พระเพื่อให้จิตใจเราสงบนิ่งเข้าถึงพระรัตนตรัยเสียแล้ว แต่การไหว้พระเป็นเพียงเครื่องมือในการต่อรองเพื่อให้ตัวเราสมปรารถนา
วัดบางวัดและพระหลายรูปเห็นเช่นนี้แล้วก็เลยส่งเสริมความเข้าใจไปในทางนี้เสียเลย ความเชื่อในสายมูเตลูจึงมาแรงอย่างที่ผมเคยพูดไว้ในที่แห่งนี้สองสามครั้งแล้ว
ผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร รวมทั้งตัวเอกในหนังเรื่องที่ผมดูเมื่อคืนก่อนนั้น จึงตอบสนองค่านิยมของตนที่อยากก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จตามแบบมาตรฐานของสังคม ด้วยการยอมเสียสละหลายอย่างในชีวิต ยอมอดทนถูกด่าถูกว่า ต้องรองรับอารมณ์ของคนอื่นที่เหนือกว่า ต้องเสียสละแม้กระทั่งความรักของตัวเองเพื่อแลกกับการก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสายปรารถนา
ถ้าเป็นอาชีพอย่างที่อยู่ในหนังเรื่องกระหายหิว ผลข้างเคียงในแง่ลบหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการประพฤติตนไต่เต้าทุ่มเทดังกล่าว หากเกิดมีขึ้นก็คงมีอยู่ในวงจำกัด คือเป็นความทุกข์เฉพาะตัวหรือในหมู่คนใกล้ชิดเท่านั้น
แต่ถ้าการไต่เต้าหรือขวนขวายจนเกินขอบเขตไม่ได้เกิดขึ้นในอาชีพที่สั่นสะเทือนสังคมน้อย แต่เกิดขึ้นในอาชีพที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น สำหรับผมซึ่งเป็นคนในแวดวงวิชาชีพกฎหมาย ก็อดจะนึกถึงผู้คนในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้
หรือถ้าผมจะมองให้ไกลไปกว่านั้นในฐานะอดีตข้าราชการประจำ ผมก็ต้องนึกถึงเพื่อนข้าราชการประจำของผมอีกสองล้านหรือสามล้านคน ว่าชาวเรามองเห็นประเด็นเหล่านี้อย่างไร
ถ้าความสำเร็จเพื่อไปสู่จุดสุดยอด เป็นการเดินทางที่ไม่มีเงื่อนไข จะรับสินบาทคาดสินบน จะประพฤติผิดศีลธรรมอย่างไรก็ได้ แน่ใจหรือครับว่า เมื่อเราขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่เราเรียกว่าเป็นจุดสุดยอดแห่งความสำเร็จแล้ว เราจะมีความสุขใจที่แท้จริงเกิดขึ้น
ผมคิดเพ้อฝันไปคนเดียวว่า ความสำเร็จหรือความก้าวหน้าตามมาตรฐานของชาวโลกนั้น ผมไม่ปฏิเสธว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากได้ครับ
แต่ถ้าไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมก็พอใจกับชีวิตของผมที่มีอยู่ ไม่ต้องตีโพยตีพายร่ำไห้
ในทางตรงกันข้าม ถ้าได้สมบัติเหล่านั้น ตำแหน่งเหล่านั้น ชื่อเสียงเหล่านั้นมาเป็นของตัวเราแล้ว ก็อย่าเผลอนึกว่าทุกอย่างจีรังยั่งยืน นั่งยิ้มจนเหมือนเป็นคนบ้าตั้งแต่เช้ายันเย็น
ถ้ามองเสียว่าตำแหน่งหน้าที่เหล่านั้นมาอยู่กับตัวเราชั่วคราวก็เพื่อเปิดช่องทางให้เราสามารถทำประโยชน์และสร้างผลงานให้กับคนหมู่มากได้ วันหนึ่งเมื่อเราพ้นตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว เพราะเกษียณอายุราชการก็ดี หรือเพราะย้ายไปทำหน้าที่อื่นก็ดี หรือแม้กระทั่งย้ายไปนั่งตบยุงอยู่ที่ไหนก็ตาม เรายังนับถือตัวเราเองได้
และที่สำคัญคือ เรายังมีความสุขกับตัวเราเองได้เสมอ เพราะเราให้คุณค่ากับตัวเราเองเสมอมา
วันนี้มาแนวคนแก่อีกแล้วครับ แต่เอาเถิด ก็เรามันแก่จริงนี่นา
จะไปเดือดร้อนอะไรเล่ากับคำพูดของมนุษย์ ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเราได้ดีเท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว
จบข่าว อิอิ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022