จับสัญญาณเงินทุนไหลกลับ หนุนดัชนีหุ้นไทย ‘ขาขึ้น’ นักลงทุนลุ้นรัฐบาล ‘แพทองธาร’

บทความพิเศษ | ศัลยา ประชาชาติ

 

จับสัญญาณเงินทุนไหลกลับ

หนุนดัชนีหุ้นไทย ‘ขาขึ้น’

นักลงทุนลุ้นรัฐบาล ‘แพทองธาร’

 

ดัชนีหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,300 จุดได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งไป

ขณะเดียวกัน รัฐบาลและหน่วยงานตลาดทุน ก็มีความพยายามดำเนินมาตรการเรียกความเชื่อมั่นหลายๆ มาตรการ

โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพิ่งจัดงาน Thailand Focus 2024 ภายใต้หัวข้อ “Adapting to a Changing World” เพื่อให้เป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงศักยภาพการลงทุนในไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก และเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีการประกาศเพิ่มมาตรการฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยอีก 3 มาตรการ ได้แก่ การกำหนดกรอบราคาซื้อขายหลักทรัพย์ (Dynamic Price Band) การซื้อขายด้วยวิธีจับคู่ซื้อขายในคราวเดียว (Auction) และการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำที่คำสั่งซื้อขายต้องคงอยู่ในระบบซื้อขาย (Minimum Resting Time)

 

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมาตรการกำกับดูแลตลาดหุ้นที่จะทำให้มีความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนมากขึ้น ประกอบกับผลกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เติบโตดีขึ้นชัดเจน และครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจะมีความต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมไปถึงปัจจุบันอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ไม่สูง จะหนุนให้ตลาดหุ้นยิ่งมีความคึกคัก

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากประเด็นทางการเมืองค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันสามารถปลดล็อกได้ ประกอบกับรอยต่อสุญญากาศทางการเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็หายไป ทำให้งบประมาณปี 2567 ยังเดินหน้า และงบประมาณปี 2568 ไม่ได้ถูกเลื่อน ทำให้นโยบายภาครัฐน่าจะเดินไปได้ตามปกติ

ขณะที่ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ครึ่งปีแรกโตได้ต่ำแค่ 1.9% แต่ครึ่งปีหลังคาดว่า GDP จะโตได้ดีขึ้น โดยไตรมาส 3 คาดจะโตได้ 2.7% และไตรมาส 4 โต 4% ทั้งนี้ มาตรการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่จะปรับมาจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางก่อน ภายในเดือนกันยายนนี้ และส่วนที่เหลือจะจ่ายในไตรมาส 4 จะทำให้ GDP ครึ่งปีหลังโตดีกว่าครึ่งปีแรก โดยทั้งปีน่าจะโตได้ 2.7%

ยังมีมาตรการกำกับตลาดหุ้น ที่ออกมาบังคับใช้ต่อเนื่อง ล่าสุด เพิ่มเติมอีก 3 มาตรการ เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น โดยทำให้เงินทุนต่างชาติพลิกไหลเข้า (ฟันด์โฟลว์) เพิ่มขึ้น

ฟันด์โฟลว์เริ่มไหลกลับเข้ามาหนาแน่นขึ้น นับจากเดือนกรกฎาคมจนถึง 28 สิงหาคม นักลงทุนต่างชาติซื้อตราสารหนี้ไทย 4.7 หมื่นล้านบาท และซื้อหุ้นไทยกับบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) รวมกัน 2.5 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมบิ๊กล็อตหุ้น SCCC) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกมาก จากช่วงครึ่งปีแรกที่ต่างชาติเทขายหนัก โดยเป็นการเทขายตราสารหนี้ไทย 3 หมื่นล้านบาท และขายหุ้นไทย 1.29 แสนล้านบาท

“ถือเป็นการพลิกจากหลังมือมาเป็นหน้ามือ แล้วยิ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยเร็ว ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยช้า จะทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น”

 

นายภราดรกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมูลค่าหุ้นไทยถือว่าถูก P/E ตลาดระดับกว่า 14 เท่า ซึ่งปกติจะซื้อขายอยู่ที่ 17-18 เท่า และส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนตราสารหนี้กับตลาดหุ้น (Market Earning Yield Gap) ตอนนี้อยู่ที่ 4.3% ถือว่าค่อนข้างที่จะสูง จากปกติ 3.8%

จึงมีโอกาสที่จะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามากขึ้น โดยหุ้นที่กำไรครึ่งปีหลังเติบโตเด่น น่าจะเป็นเป้าหมายของฟันด์โฟลว์ ซึ่งครึ่งปีหลังแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นมาก จากครึ่งปีแรก 2567 ที่อยู่ที่ 5.19 แสนล้านบาท (เติบโต 9.7% ต่อปี)

“คาดว่ากำไร บจ. ครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 5.9 แสนล้านบาท เติบโต 27% ต่อปี และโต 11% เมื่อเทียบจากครึ่งปีแรก จากแรงขับเคลื่อนทั้งการบริโภคที่มีมาตรการแจกเงินดิจิทัล การลงทุนภาครัฐ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงนำเข้า-ส่งออกที่เติบโตดีขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่าการลงทุนภาคเอกชนจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ จากความเชื่อมั่นที่กลับมา”

นายภราดรกล่าวว่า บล.เอเซีย พลัส ยังคงให้มุมมองดัชนีหุ้นไทย สิ้นปีนี้ที่บริเวณ 1,450 จุด แต่ถ้าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยทุกๆ 0.25% จะทำให้ดัชนีเป้าหมายปรับเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 60 จุด ซึ่งปีนี้คาดการณ์ว่า กนง.น่าจะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ช่วงเดือนธันวาคม 2567

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2567 คาดว่าจะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาจากที่เฟดลดดอกเบี้ย และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินฝั่งตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) แข็งค่าขึ้น และมีเม็ดเงินบางส่วนที่ไหลเข้ามาลงทุนที่ตลาดหุ้นไทย

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ข่าวเชิงบวกที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน คือ ความคืบหน้าเกี่ยวกับการเสนอขายหน่วยลงทุนรอบใหม่ของกองทุนวายุภักษ์ หากมีความชัดเจนเกิดขึ้นอาจช่วยประคับประคอง Sentiment ในตลาดหุ้นไทยเอาไว้ได้

ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวต้านเดือนกันยายนที่ 1,370 และ 1,400 จุด ส่วนแนวรับประเมินที่ 1,320 และ 1,290 จุด

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้แนะนำให้ติดตามการทำงานของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางก่อน ที่จะต้องดำเนินการก่อนวันที่ 30 กันยายนนี้ เพื่อให้ทันใช้เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ หากทำสำเร็จตามเงื่อนเวลาที่กำหนด คาดจะขับเคลื่อน SET Index ขึ้นไปแกว่งเหนือระดับ 1,400 จุดได้ไม่ยาก

“แต่ในทางกลับกัน หากการทำงานของรัฐบาลใหม่เผชิญอุปสรรค มีความล่าช้าเกิดขึ้น เช่น การยื่นร้องในประเด็นต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเหมือนที่ผ่านๆ มา ก็อาจทำให้ SET Index เกิดผันผวนได้หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาเร็วก่อนหน้านี้ มาจากความคาดหวังเป็นส่วนใหญ่”

อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นด้านการเมืองแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้า โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และคาดว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้จาก 3 ประเด็น คือ

1. การเมืองมีความชัดเจนแล้วและเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ดูแข็งแกร่งกว่าเดิม

2. ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดโลกและซื้อขายที่ระดับ PER ถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

3. โอกาสการซื้อคืนของต่างชาติหลังจากที่ปีนี้ (YTD) ยังมียอดขายสุทธิสะสมมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท สอดคล้องกับสถานะชอร์ตคงค้างที่มีมูลค่าลดลงต่อเนื่อง

ปัจจุบันหุ้นไทยยังมีลุ้นไปต่อได้อีก มีโอกาสจะทะลุ 1,400 จุดขึ้นไปได้ ซึ่งทุกฝ่ายฝากความหวัง และจับตาไปที่นโยบายของรัฐบาล “อิ๊งค์ 1” ซึ่งคาดว่าจะมีการแถลงต่อรัฐสภาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้