วิมานหนาม

ความจริงผมควรจะเขียนถึงหนัง “วิมานหนาม” ตั้งแต่ก่อนหนังจะฉาย เพราะทาง GDH เชิญให้ไปชมตั้งแต่รอบสื่อมวลชนก่อนฉายจริง

แต่ผมขยักไว้

ขยักไว้ตั้งแต่ไม่ยอมไปดูรอบสื่อ

จนหนังเข้าฉายแล้วค่อยแอบไปดูเอง

แต่ก็ยังขยักไว้ไม่ยอมเขียน

จนกระทั่งรู้ว่าหนัง “วิมานหนาม” ทำรายได้ดีมาก

ทะลุ 50 ล้าน

ทะลุ 80 ล้าน

และกำลังเป็นหนัง 100 ล้านเรื่องใหม่ของ GDH

ผมจึงลงมือเขียนถึงหนัง “วิมานหนาม” อย่างสบายใจ

ถามว่าทำไมต้อง “ขยัก” ไม่ยอมเขียน

เหตุผลสั้นๆ ก็คือ กลัวหนังไม่ได้เงิน

เพราะที่ผ่านมา GDH และค่ายหนังต่างๆ จะชวนผมไปดูหนังรอบสื่อเป็นประจำ

พอดูจบก็มาเขียนวิจารณ์

เชื่อไหมครับว่าหนังที่ผมเขียนถึง ไม่มีเรื่องไหนได้ 100 ล้านเลย

…ทุกค่าย

บางเรื่องรายได้ต่ำจน GDH งง

น้องๆ ที่ GDH จำไม่ได้หรอกครับว่าผมเขียนเรื่องใดไปบ้าง

แต่ผมจำได้ดี

บางเรื่องชอบมาก เขียนชมแบบสุดสุด

แต่หนังก็ไม่ทำเงินเลย

จนตอนหลัง ผมต้องบอก “พี่เก้ง-วรรณ-เอ๋” ว่าอย่าให้ผมไปดูและเขียนวิจารณ์เลย

สงสารผู้กำกับฯ และทีมงาน

ตอนที่บอก “พี่เก้ง” เรื่องนี้

“พี่เก้ง” ไม่เชื่อ

ผมเลยยกตัวอย่างหนังที่ผมไม่ได้ดู และไม่ได้เขียนถึง 2 เรื่อง

“พี่มากพระโขนง”

และล่าสุด “หลานม่า”

หนังระดับ 1,000 ล้านของ GDH

ผมไม่ได้ดูและไม่ได้เขียนถึง

พอไม่เขียน

1,000 ล้านทันที

“พี่เก้ง” และ “วรรณ” จึงเริ่มเชื่อในความเป็น “กาลกิณี” ในเรื่องหนังของผม

เคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ฟังเหมือนกันตอนที่เขาถามว่าไปดูหนัง “หลานม่า” แล้วหรือยัง

พอเล่าจบ

“อากู๋” หัวเราะ แล้วบอกว่าต่อไปจะขอให้โรงหนังติดรูปผมไว้

โรงไหนฉายหนัง GDH

ห้ามเข้าเด็ดขาด!!

“วิมานหนาม” เป็นหนังที่ GDH ร่วมทุนกับ JAI STUDIO ค่ายหนังใหม่ของโรงหนัง SF

ใช้ฉากส่วนใหญ่เป็นสวนทุเรียน

ในหนังเป็นสวนทุเรียนที่แม่ฮ่องสอน

แต่ถ่ายทำจริงในสวนที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด

ในฐานะคนเมืองจันท์ที่มีสวนทุเรียน จะรู้สึกคุ้นเคยกับฉากในหนังมาก

เขาเก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว

ทั้งตอนปัดเกสรตอนกลางคืน

หรือตอนที่น้องชาย “อิงฟ้า” ตัดดอกที่ไม่มีกลีบดอกทิ้งเพราะคิดว่าใช้ไม่ได้

ทั้งที่เป็นดอกที่กำลังจะเป็นลูกทุเรียน

ชาวสวนเรียกว่าช่วง “หางแย้”

ดูแล้วคุ้นๆ มาก

GDH ใช้คำโปรยบนโปสเตอร์หนังสั้นๆ

“ทวงคืนเพื่อครอบครอง

ทิ่มแทงเพื่อแย่งชิง”

และนี่คือเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้

“เรื่องราวของ ทองคำ และ เสก คู่รักเกย์ผู้อุทิศตนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างชีวิตร่วมกัน จนมีทั้งบ้านและสวนทุเรียน ทว่า โศกนาฏกรรมกลับเกิดขึ้น เมื่อเสกเสียชีวิตกะทันหัน และต้องพบกับความจริงที่ว่าการสมรสเพศเดียวกันยังไม่ถือว่าเป็นคู่แต่งงานตามกฎหมายไทย

เมื่อการสมรสเท่าเทียมยังไม่ได้รับการยอมรับ ทำให้ทองคำไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่เขากับเสกร่วมสร้างกันมา

บ้านและสวนทุเรียนทั้งหมด กรรมสิทธิ์ตกเป็นของแม่เสก ซึ่งย้ายมาอยู่พร้อมกับลูกสาวบุญธรรมและคนสวน

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นภายในบรรยากาศของสวนทุเรียนที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของทองคำกับเสกได้เกิดขึ้น

ทองคำต้องคิดหาวิธีในการทวงคืนสิทธิครอบครองในสวนทุเรียนที่อบอวลด้วยความรักของเขาแห่งนี้คืนมาให้จงได้”

เวลาที่เราเห็นภาพโปสเตอร์ คำโปรย เรื่องย่อของหนัง “วิมานหนาม”

และประทับตรา GDH เข้าไป

ผมเชื่อว่าหลายคนก็ยังเชื่อว่าแม้เป็นหนังดราม่า แต่คงต้องมีรอยยิ้ม-เสียงหัวเราะแทรกอยู่

ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด

…เหมือนผม

ผมไปดูหนังเรื่องนี้รอบบ่าย วันธรรมดา

บรรยากาศดีมากเลยครับ

เพราะคนดูน้อย นั่งสบาย เหมือนโรงหนังส่วนตัว

เรื่องไหนเศร้าก็น้ำตาไหลได้แบบไม่อายใคร

แม้พอรู้เรื่องย่อมาแล้ว และมีคนบอกว่าเนื้อหาเข้มข้นมาก

แต่นึกไม่ถึงว่า GDH จะจัดเต็มขนาดนี้

ไม่มีผ่อนคันเร่งเลย

เขา “ขยัก” ไม่บอกก่อนว่าเรื่องราวในหนังเกี่ยวกับอะไร

หนังเล่นกับปัญหาระดับโครงสร้างที่ซ้อนทับเรื่องความเหลื่อมล้ำ ทั้งปัญหาความอยุติธรรมทางกฎหมายที่ LGBTQ ได้รับ หรือเรื่องคนชายขอบ

เขาอัดเต็มทุกเรื่อง

ตัวละครทุกคนล้วนมีชะตากรรมที่น่าสงสาร

ถูกกระทำในรูปแบบที่แตกต่างกัน

แต่ใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดี

โดยมี “สวนทุเรียน” ที่กำลังจะให้ผลผลิตเป็นเดิมพัน

“เจฟ ซาเตอร์-อิงฟ้า วราหะ” เล่นดีมาก

โดยเฉพาะ “อิงฟ้า” ที่ไม่มีภาพความเซ็กซี่ หรือพราวเสน่ห์เหมือนที่เห็นตอนเป็นมิสแกรนด์

ตอนเล่นละครช่องวัน เขายังใช้ “จุดขาย” ของ “อิงฟ้า” ที่เราคุ้นชิน

แต่ “บอส” นฤเบศ กูโน ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไม่สนใจเลย

เขาใช้ “อิงฟ้า” แบบไม่สนใจ “อดีต”

จัดเต็มเหมือนนักแสดงมืออาชีพที่มากประสบการณ์

“กูยังไม่เคยเจอใคร ที่น่าสงสารเท่ากูมาก่อนเลย”

เป็นประโยคหนึ่งในหนังที่ฟังแล้วซึม

เพราะในเมืองไทยยังมีคนที่ถูกชะตากรรมกดทับแบบนี้อีกมากมาย

และดาราที่โดดเด่นมากอีกคนหนึ่ง คือ “สีดา พัวพิมล”

ไม่รู้จะชมอย่างไร

รู้ว่าเล่นดีแบบนี้ต้องได้รางวัล

สมาคมไม่มีรางวัลก็ต้องพยายามหามาให้

ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกผิดมาก 555

ผมชอบหนังช่วง 80% แรก บทดีมาก

ดูแล้วอึ้ง

แต่พอเริ่มคลี่คลายปัญหา เพื่อเข้าสู่ตอนจบ

ช่วงนี้เริ่มอึดอัด เพราะดูเร่งมาก

เร่งจนอารมณ์ตามหนังไม่ทัน

แต่พอดูจบ ยังแอบปรบมือให้กับ GDH และ JAI

ชื่นชมความกล้าหาญที่ทำหนังเรื่องนี้

ฉีกจากแนวหนังไทยที่เราคุ้นเคย

ผมเชื่อว่าทุกอย่างในโลกนี้ต้องมีการเริ่มต้น

ต้องมี “ผู้กล้า”

ไม่เช่นนั้นเราจะไม่พัฒนาไปข้างหน้า

หลังดูหนังจบ

ผมโน้ตความเห็นของตัวเองสั้นๆ

“วิมานหนาม คือ หนังที่ถ้าใครเล่าให้ฟังก่อนว่าเป็นหนังอะไร เราคงจะไม่ดู

แต่เป็นหนังที่ถ้าเราเข้าไปดูแล้ว

…เราจะบอกต่อ” •

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์