ขอแสดงความนับถือ

มีอีกกิจกรรมหนึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึง “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ในวาระจากไปครบ 1 ปี

โดยวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้อง RRL304 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร

จะมีการเสวนา

“ปริมณฑลของความ(ไม่)รู้

ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (1 ปีการเดินทางไกล)”

มีหลากประเด็นจากวิทยากรที่มีชื่อเสียงมาเสวนากัน

รวมถึง “สุจิตต์ วงษ์เทศ” ที่จะพูดในหัวข้อ

“ยกเลิก ‘เชื้อชาติ’ ในประวัติศาสตร์ไทย”

ในช่วงเวลา 09.00-10.30 น.

ทำไม ต้องยกเลิกเชื้อชาติ ในประวัติศาสตร์ไทย

“สุจิตต์ วงษ์เทศ” เขียนบทความต้อนรับนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในมติชนรายวัน

เรื่อง “ความเท่าเทียมแท้จริง ต้องชำระประวัติศาสตร์ไทย”

และมีการเผยแพร่ผ่าน https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_4745397

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ว่า…

“ความไม่เท่าเทียมและความรุนแรงที่มีต่อประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์

เช่น มลายูปัตตานี, กะเหรี่ยงบางกลอย ฯลฯ

ล้วนมีต้นตอสำคัญชุดหนึ่งจากการบงการของประวัติศาสตร์ ‘คลั่งเชื้อชาติไทย’

ที่ชนชั้นนำไทยบัญชาให้ ‘แต่งใหม่’ ราว 80 ปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีมี ‘สปีชแรก’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567 ว่าอาสาทำให้คนไทยกล้าฝัน, กล้าสร้างสรรค์, กล้ากำหนดอนาคตของตนเอง

แล้วอาสาทำประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส

เป็นประเทศแห่งความหวัง

เป็นประเทศแห่งความสุขของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม

‘สปีชแรก’ ของนายกฯ มีลักษณะของวัฒนธรรม

ทั้งนี้เพราะความไม่เท่าเทียมในสังคมนั้นมีที่มาจาก ‘ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก’

ซึ่งหมายถึงความเป็นไทยอยู่เหนือความเป็นอื่น อันมีต้นตอรากเหง้าจากประวัติศาสตร์ไทย (กระแสหลัก) ของทางการ

ดังนั้น ถ้าต้องการความสำเร็จตาม ‘สปีชแรก’ นายกฯ ต้องเร่งทำลำดับต้นๆ

คือ ‘ปลดล็อก’ ประวัติศาสตร์ไทย

เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทุกชาติพันธุ์มีความเป็นไทยอย่างเท่าเทียมในประวัติศาสตร์ไทย

ต่อจากนั้นสิ่งตามมาคือความกล้าฝัน, กล้าสร้างสรรค์, กล้ากำหนดอนาคตตนเอง

ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส, ความหวัง และความสุขอย่างเท่าเทียมแท้จริง…”

สุจิตต์ วงษ์เทศ เรียกร้อง และยืนยัน ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ชำระประวัติศาสตร์เชื้อชาติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรยกเลิก “เชื้อชาติไทย”

ควรยกเลิก “ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก”

และให้ซื่อตรงต่อหลักฐานวิชาการ ว่าความเป็นคนมีก่อนความเป็นไทย เพราะความเป็นไทยถูกสร้างหลังความเป็นคน

ดังที่สุจิตต์ วงษ์เทศ ย้ำอีกครั้ง ในบทความที่นำเสนอใน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้

“สยามประเทศไทย หลายพันปี”

“…ประเทศไทยมาจากประเทศสยาม (บางทีเรียก ‘สยามประเทศไทย’)

และคนไทยมาจากชาวสยาม (บางทีเรียก ‘ไทยสยาม’)

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ได้จากความเป็นมาของอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้ว สืบเนื่องถึงปัจจุบัน

โดยมีหลักฐานทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้

ตั้งแต่วัฒนธรรมบ้านเก่า (กาญจนบุรี)

วัฒนธรรมบ้านเชียง (อุดรธานี)

ถึงวัฒนธรรมโขง-ชี-มูล (ที่ราบสูงโคราช)

ซึ่งหลอมรวมเป็นวัฒนธรรมสยาม (ลุ่มน้ำเจ้าพระยา)

แล้วกลายเป็นไทยสืบเนื่องทุกวันนี้…”

 

ประเด็นนี้อาจดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน “ทางการเมือง”

และแถมอาจจะไม่มีบรรจุในนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อสภาเลยก็ได้

กระนั้น อยากให้ย้อนกลับไปอ่านในสิ่งที่สุจิตต์ วงษ์เทศ เสนออีกครั้ง

“…ความไม่เท่าเทียมในสังคมนั้น

มีที่มาจาก ‘ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก’

…ดังนั้น ถ้าต้องการความสำเร็จตาม ‘สปีชแรก’ นายกฯ ต้องเร่งทำลำดับต้นๆ

คือ ‘ปลดล็อก’ ประวัติศาสตร์ไทย” •