ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม - 5 กันยายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
การอยู่กับการรัฐประหารซ้ำซากและการไม่ต่อเนื่องของระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาทำให้คนไทยและสังคมไทยไม่สามารถสมาทานแนวคิด “ประชาธิปไตยทางอ้อม” อันเป็นหัวใจของประชาธิปไตยระบอบปรัฐสภาได้
นั่นคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเลือก ส.ส.ไปแล้ว ส.ส.จะใช้อำนาจแทนเราไปเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นนายกฯ โดยอำนาจของประชาชน (ทางอ้อม) จะเลือกฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีโดยวิจารณญาณของตนเอง
ประชาชนอาจจะไม่พอใจตัวรัฐมนตรีที่นายกฯ เลือกมา แต่การไม่พอใจนั้นสามารถแสดงออกผ่าน
หนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอ
สอง การตรวจสอบจากฝ่ายค้าน เช่น หากฝ่ายค้านพบว่า รัฐมนตรีคนนั้นขาดคุณสมบัติ ฝ่ายค้านนำไปอภิปราย สภาเห็นว่า นายกฯ บกพร่อง เลือกคนขาดคุณสมบัติมาดำรงตำแหน่ง นายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือยุบสภา
สาม ประชาชนดูภาพรวมการทำงานของรัฐบาล และในอีกสี่ปีข้างหน้า ประชาชนจะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเลือกใครไปเป็นตัวแทนของตัวเอง เพื่อไปใช้อำนาจเพื่อเลือกนายกฯ?
หลักการประชาธิปไตยทางอ้อม ประชาธิปไตยระบบรัฐสภามีอยู่เพียงเท่านี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “การถอดถอนนายกฯ โดยศาลรัฐธรรมนูญ”
แต่สถาปัตยกรรมการเมืองที่ให้อำนาจองค์กรอิสระ “ลงดาบ” นักการเมือง รวมถึงฝ่ายบริหารที่ยึดโยงกับประชาชน เกิดจากแรงปรารถนาในสังคมไทยเองที่ฝังจิตฝังใจเชื่อว่า ขึ้นชื่อว่า “นักการเมือง” ย่อมเลวและโกง จึงนำมาสู่ภาวะประสาทรับประทาน กลัว “เผด็จการเสียงข้างมาก”
ความกลัวเผด็จการเสียงข้างมากนี้เองนำมาสู่นวัตกรรมทางการเมืองว่าด้วยการแต่งตั้ง ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม ความเป็นกลาง ผู้ปราศจากผลประโยน์ทับซ้อน มาดำรงตำแหน่งเป็นสภาปุโรหิตในนามองค์กรอิสระ
ปัญญาชนคนชั้นกลางไทยเชื่อว่า ผู้ปราศจากซึ่งผลประโยชน์และไม่กระหายในอำนาจ ห่มชุดครุย เป็นผู้คงแก่เรียน คือคนที่จะ “ปราบมาร” ลงดาบ ประหารชีวิตนักการเมืองชั่ว
แทนที่จะยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยแบบตัวแทน หรือประชาธิปไตยทางอ้อมว่า หากนักการเมืองกระทำความผิดทางอาญาก็แค่ขึ้นศาลอาญา ทำความผิดทางแพ่งก็ขึ้นศาลแพ่ง บกพร่องทางการกระทำใดๆ ล้มเหลวในการบริหารประเทศ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปก็อย่าไปเลือกคนห่วยๆ กลับมาทำงานอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยคือ ความอ่อนแอของวัฒนธรรมประชาธิปไตย
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน หากการตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน เป็นการกระทำที่ “ไม่ชอบ” สิ่งที่ควรเกิดขึ้น ไม่ใช่การปลดคุณเศรษฐาโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ควรเป็นกลไกสภา
เพราะหากคุณเศรษฐาเข้าสู่อำนาจด้วยเสียงของประชาชน เขาก็ควรออกจากอำนาจด้วยเสียงของประชาชน ไม่ใช่ออกจากอำนาจด้วยการวินิจฉัยของคนเก้าคน
เราจะชอบหรือไม่ชอบพรรคเพื่อไทย เราจะชอบหรือไม่ชอบคุณเศรษฐา เราต้องเข้าใจหลักการนี้เสียก่อน
เพราะหากเราสนับสนุนการถอดถอนนายกฯ ด้วยวิธีนี้ สักวันหนึ่ง นายกฯ ที่เราชอบ พรรคการเมืองที่เราสนับสนุน ก็มีโอกาสจะถูกถอดถอนด้วยเครื่องมือเดียวกัน
และไม่ต้องย้อนไปไกล หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าคุณเศรษฐา พรรคก้าวไกลก็ถูกยุบ พร้อมกับการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
หากเราต้องการเห็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งในสังคมไทย เราต้องสามารถมองเห็นว่าความเสียหายนี้ไม่ใช่ความเสียหายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
แต่คือการบั่นทอนวัฒนธรรมประชาธิปไตยในระยะยาว
แน่นอนว่าทางออกของเรื่องนี้คือการแก้กฎหมาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อาจต้องใช้เวลา
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าคนไทยและสังคมไทยเห็นพ้องต้องกันหรือไม่ว่านี่คือปัญหาโครงสร้างการเมืองไทยที่ชอบพูดถึงกัน
เพราะเท่าที่ฉันติดตามการวิเคราะห์วิจารณ์ของปัญญาชน สื่อมวลชนในประเทศนี้ แทนการครุ่นคิดเรื่องตุลาการภิวัฒน์ ฉันกลับเห็นว่าพวกเขาไปหมกมุ่นสนใจเรื่องของทักษิณมากกว่าเรื่องตุลาการภิวัฒน์ และไม่มีทีท่าว่าจะถอนตัวเองออกมาจากสำนึกเกี่ยวกับภารกิจว่าด้วยการกำจัดนักการเมือง “เลว” ให้สิ้นซาก
และสัญลักษณ์ของนักการเมืองเลวคือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ฉันหลงดีใจว่าชนชั้นกลาง ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อมวลชนได้ตาสว่างแล้ว คำว่า “คนดี” กลายเป็นคำว่า “คนดีย์”
แสดงว่าพวกเขารู้เท่าทันวิธีคิดว่าด้วยคนดีปกครองบ้านเมืองในฐานะเครื่องมือเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตยแล้ว
พวกเขาพูดถึงปัญหารัฐพันลึก พวกเขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทลายทุนผูกขาด ทุนทหาร ทุนธนาคาร
พวกเขาพูดเรื่องรัฐปรสิต พวกเขาต่อต้านการรัฐประหาร
ฉันหลงดีใจว่า คนชั้นกลางเหล่านี้มีพรรคการเมืองที่เป็น “ตัวแทน” ของพวกเขา คือพรรคอนาคตใหม่ ที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่สมองแจ่มใส ไฟแรง และมีจุดยืนทางประชาธิปไตยที่ “ล้ำ” กว่าพรรคเพื่อไทยเสียอีก
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พรรคอนาคตใหม่ที่กลายเป็นพรรคก้าวไกล และเป็นพรรคประชาชน กลับมีโลกทัศน์ทางการเมืองไม่ต่างจาก “คนดีย์” เพียงแต่พวกเขาไม่ได้สนับสนุนการรัฐประหารเท่านั้น
แต่องค์ประกอบอื่นๆ ของพวกเขากลับเหมือนกลุ่ม “คนดี” ทุกประการ นั่นคือ มองว่า “การเมืองเดิม” เต็มไปด้วยความฉ้อฉล ระบบอุปถัมภ์ การซื้อเสียง มาเฟีย เจ้าพ่อ เจ้าของพรรคขาใหญ่ การแสวงหาผลประโยชน์ การโกงกิน คอร์รัปชั่น นโยบายเอื้อนายทุน การกินรวบ ผูกขาด
ตรงกันข้าม พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน เป็นศูนย์รวมของนักการเมืองที่ทำงานเพื่อประชน ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง ทำงานการเมืองด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ไม่ได้แปลว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน (ต่อไปนี้จะเรียกว่าพรรคประชาชน) กำลังสถาปนา “ความดี” ขึ้นมาหนึ่งชุดว่ามีแต่พวกตนและพรรคของตนเท่านั้นที่บรรลุซึ่งความดีนี้ คนอื่น พรรคอื่นคือความเก่า และคือความฉ้อฉลล้าหลัง
ซึ่งนี่คือจุดขายของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต โดยมีคุณชวน หลีกภัย เป็นสัญลักษณ์ ไม่ต่างอะไรกับที่เราเห็นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นสุรินทร์ พิศสุวรรณ เห็นสุพัตรา มาศดิตถ์ เห็นกรณ์ จาติกวณิช ในยุคหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์
การสร้าง narrative ทางการเมืองว่า ตนเองเป็นน้ำดี และคนอื่นเป็นน้ำเน่า มันไปสอดคล้องกับมโนทัศน์เดิมๆ ของคนไทยว่า ประเทศชาติ สังคมจะเจริญก้าวหน้าได้ หากเรามีนักการเมืองที่ดี ใจซื่อ มือสะอาด ไม่สมยอมกับนายทุน แน่วแน่ในหลักการ หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี บน narrative มันทำให้คนไทยยังมองว่า พรรคการเมืองที่ดี เท่ากับพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด
ดังนั้น เราทุกคนต้องเอาใจช่วยพระผู้ไถ่นี้ เพราะบนเส้นทางจาริกแรมรอนของพระผู้ไถ่ พวกเขาย่อมเผชิญกับอุปสรรค ปัญหาการขัดขวางจากพวก “มารผจญ”
มารผจญของพรรคพระผู้ไถ่นี้ก็ประกอบไปด้วย
พรรคการเมืองของนักการเมืองเลวๆ ที่เคยเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจเผด็จการ
เหล่าองคาพยพของกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยม ทุนสามานย์ ทุนผูกขาด
และที่ร้ายที่สุดคืออดีตพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตยแต่ตอนนี้ตระบัดสัตย์ข้ามขั้วไปอยู่ฝั่งเดียวกับเผด็จการ ทรยศประชาชน ทรยศพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ทรยศต่อประชาชน เหยียบศพคนเสื้อแดงขึ้นสู่อำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน
พรรคการเมืองนั้นชื่อพรรคเพื่อไทย บนเรื่องเล่าหรือ narrative นี้ยิ่งขับเน้นให้พรรคประชาชนกลายเป็นพรรคคนดี
พรรคเทวดาพระผู้ไถ่ที่ต้องเดินดุ่มบนหนทางสายเปลี่ยวอย่างทรหด แต่พวกเขาไม่เคยย่อท้อ เพราะหนี้บุญคุณเดียวที่พวกเขามีคือประชาชน เจ้านายเดียวที่พวกเขาเคารพคือประชาชน
ดังนั้น พวกเขาจะฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามต่อไปเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อปลดแอกประชาชนจากนักการเมืองชั่วตระบัดสัตย์
สุดท้ายการเมืองไทยกลับมาอยู่กับการเมืองเทพกับมารเหมือนเดิม แทนที่จะได้เห็นการเมืองในกระแสการเปลี่ยนแปลงว่ามีการปะทะสังสันทน์ มีพรรคการเมืองที่มีความหลากหลาย ทั้งพากันเดินไปข้างหน้า ทั้งมีบางย่างก้าวที่ยื้ดยุดดึงกลับไปข้างหลัง
แต่ในบางจังหวะก็สามารถร่วมมือกันในบางเรื่องเดินหน้าไปได้ไกลกว่าเดิม ดังนั้น สิ่งที่ทักษิณพูดในงาน Vision for Thailand 2024 คือ ณ วันนี้เราต้องการความสามัคคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายการเมืองด้วยกันเอง เพราะศัตรูที่แท้จริงคือทุกอำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน หากฝ่ายการเมืองไม่รบราฆ่าฟันเอง ช่วยโอบอุ้มกันและกัน เอาผลประโยชน์ของประชาชนให้อยู่เหนือชัยชนะทางการเมืองระยะสั้น
นโยบายไหนของใครดีก็ช่วยกันผลักดัน ร่างกฎหมายของพรรคไหนดีก็ช่วยกันเข็นให้ผ่าน โดยไม่ต้องรังแครังคัดว่าเดี๋ยวพรรคนั้นได้ผลงาน พรรคนี้ได้ผลงาน อะไรที่ไม่ใช่ผลงานของพรรคเรา แม้ประชาชนได้ประโยชน์ก็ต้องขวางไว้ก่อน
เสร็จแล้วแจ้งกับประชาชนว่านี่ไม่ใช่ผลงานของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นงานของฝ่ายสภา งานของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการมีประชาธิปไตยระบบตัวแทน
ส่วนเรื่องที่ไม่ดีก็ตรวจสอบกันไปตามกระบวนการ ไม่ต้องตีกิน ไม่ต้องใส่ร้ายป้ายสีตีตรากันจนเกินกว่าเหตุ
ทำแบบนี้ให้ได้ต่อเนื่องสักสองการเลือกตั้งหรือแปดปี วัฒนธรรมประชาธิปไตยก็จะเข้มแข็ง ประชาชนจะเข้มแข็ง
ซึ่งท้ายที่สุดโดยไม่ต้องมีพระผู้ไถ่คนใดคนหนึ่งจุติมา ประชาธิปไตยมันก็จะลงหลักปักฐานได้ในสงคมไทยในที่สุด
แต่น่าผิดหวังที่การปรากฏตัวของทักษิณหลังการลี้ภัย 17 ปี กลับไปปลุกจิตวิญญาณแบบสลิ่มที่หลอนผีทักษิณเหมือนในช่วงปี 2548 ก่อนการรัฐประหาร 2549 กลับมาอีกครั้ง
แทนที่คนรักในประชาธิปไตยจะมองว่าการกลับมาประเทศไทยของทักษิณและการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่
ก. ถ้าเราเห็นว่าการรัฐประหารคืออาชญากรรม และคุณทักษิณคือหนึ่งในบุคคลที่ถูกกระทำ หรืออีกนัยหนึ่งเขาคือเหยื่อของการรัฐประหาร เขาถูกยัดคดี เขาถูกฟ้องร้อง ถูกสั่งฟ้องภายใต้เงื้อมมือของคนที่ยึดอำนาจไปจากเขา
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ในประเทศไทยคลี่คลายหลังจากนั้นอีก 17 ปี และผู่ก่อการรัฐประหารสิ้นอำนาจ ประเทศมีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง การกลับมาของทักษิณ ถ้าว่าตามหลักการแล้วทุกคดีควรเป็นโมฆะด้วยซ้ำ และเขาไม่ควรต้องเข้าเรือนจำหรือแม้แต่ไปถูกคุมขังในโรงพยาบาลตำรวจแม้แต่วันเดียวเสียด้วยซ้ำ
และหากใครติดใจในพฤติกรรมของเขาในสมัยเป็นรัฐบาล ก็สามารถยื่นฟ้องร้องใหม่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่แหละ แต่ต้องไม่ใช่การรับโทษจากคดีที่เกิดขึ้นโดยอำนาจของรัฐบาลรัฐประหาร
ข. แต่ถ้ามองว่านี่คือการกลับมาของนักโทษชายทักษิณ รู้สึกโกรธว่า ทักษิณคืออภิสิทธิ์ชน ทำไมไม่ได้อยู่ในเรือนจำ อยากดูกล้องวงจรผิดของโรงพยาบาลตำรวจ นั่งหัวเราะกับอาการป่วยของทักษิณว่าเป็นการป่วยปลอม
ผู้ที่คิดแบบนี้พึงตรวจสอบตัวเองว่า เป็นคนหัวก้าวหน้าจริงหรือ เป็นผู้รักในความยุติธรรมอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือ เป็นผู้ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยจริงหรือ
เพราะถ้ายึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยจริงๆ ต่อให้เกลียดทักษิณก็ต้องสามารถยืนยันว่า ทุกคดีที่ทักษิณโดนเป็น “คดีการเมือง” มาตั้งแต่แรก และไม่ควรติดคุกหรือแม้แต่ถูกกักอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจด้วยซ้ำ
สัญญาณสลิ่มคนดีเฟสสองยังดังกึกก้องมาอีกเมื่อแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ อีกคนของพรรคเพื่อไทยถูกเสนอชื่อต่อรัฐสภาให้เป็นนายกฯ ต่อจากเศรษฐา แทนการมองว่านี่คือกระบวนการปกติ และยินดีที่กระบวนการสภายังคงดำเนินต่อไปได้แม้จะถูก “ขัด” ด้วยอำนาจขององค์กรอิสระ
ย้ำ ฉันไม่ได้ให้เรายินดีที่แพทองธารขึ้นเป็นนายกฯ แต่ฉันบอกว่าเราควรยินดีที่กระบวนการสภาของเรายังฟังก์ชั่นในท่ามกลางเงื่อนไขที่ไม่ปกตินี้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า เราต่างติดกับดักตัวบุคคล ที่วิจารณ์แพทองธารว่า เป็นนายกฯ เพราะเป็นลูกทักษิณ เป็นนายกฯ หุ่นเชิด เป็นอภิสิทธิ์ชน เกิดมาเคยทำงานอะไร มีความรู้ความสามารถพอที่จะเป็นนายกฯ จริงๆ หรือ?
จากนั้นคำใหญ่คำโตแบบ nepotism ที่แปลว่าระบบลูกท่านหลานเธอ
คำว่า political dynasty ที่แปลว่าโคตรวงศ์ทางการเมืองก็ตามมา
คำว่า priminister de facto ที่หมายถึงนายกฯ โดยพฤตินัยก็ตามมา
สื่อมวลชนที่มียี่ห้อเป็นคนหัวก้าวหน้าหลายคนก็ไม่อาจสะกดกลั้นความเกลียดผู้หญิงเอาไว้ได้ ก็สำรากความเห็นประเภท “อำนาจไม่ใช่มรดกที่จะส่งต่อให้ลูกหลาน”
เหล่านี้ล้วนแต่มองข้ามกระบวนการเข้าสู่การเมืองของแพทองธารว่า ได้เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคจากความเห็นชอบของสมาชิกพรรค
และฉันพูดไปหลายครั้งว่า ถ้าแพทองธารไม่ได้เรื่อง ไม่เอาถ่าน แล้วได้เป็นหัวหน้าพรรคเพียงเพราะเป็นลูกผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ถ้าเป็นเช่นนั้น ส.ส. หรือนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยคงพากันลาออกไปอยู่พรรคอื่นหมดแล้ว
เพราะขืนอยู่ในพรรคที่มีหัวหน้าพรรคห่วยๆ ทำงานไม่เป็นก็ย่อมไม่เห็นอนาคต แล้วเรื่องอะไรจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
เพราะฉะนั้น การเป็นลูกทักษิณก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เพียงพอจะส่งแพทองธารเป็นหัวหน้าพรรคได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย เราเห็นแพทองธารตระเวนปราศรัย หาเสียง เดินทางทั่วประเทศไทย ไปออกรายการให้สัมภาษณ์ จะทำได้ดีหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับเธอก็ประกาศตัวต่อประชาชนว่าฉันมายืนอยู่ตรงนี้ให้ประชาชนเลือก และคนที่เลือกโหวตให้พรรคเพื่อไทยก็โหวตด้วยความตระหนักรู้ว่า เราอาจมีนายกฯ ชื่อเศรษฐา ชื่อชัยเกษม นิติสิริ หรือชื่อแพทองธาร
ดังนั้น การเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ของแพทองธารจึงมีฉันทามติของประชาชนติดตัวมาด้วย ไม่ใช่นั่งเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกอยู่ที่บ้าน ไม่เคยมีชื่อเป็นแคนดิเดต เสร็จแล้ว ตู้ม! เศรษฐาหลุด เลยไปหยิบแพทองธารขึ้นม่เป็นนายกฯ หน้าตาเฉย โดยที่พรรคไม่เคยบอกว่านี่คือหนึ่งในแคนดิเดต หรือมีแคนดิเดตที่เอาไปเสนอต่อประชาชนเป็นนางเอบีซี เสร็จแล้วพอเกิดเรื่องตู้ม! นายกฯ ดันชื่อแพทองธาร
เออ อันนั้นค่อยด่าไหมว่า คนนี้เป็นเด็กเส้น มาได้เพราะพ่อ
แพทองธารเก่งหรือเปล่าฉันไม่รู้ เพราะการจะได้เป็นนายกฯ เขาไม่ได้เอาไปสอบจอหงวน
เขาไม่ได้ให้ไปสอบวัดระดับความสามารถแบบสอบเข้ารับราชการ
เขาไม่ได้ให้ส่งผลงาน ส่งเรซูเม่ไปประกวดกัน
แต่เขาให้ไปลงเลือกตั้ง และฉันก็พูดเป็นครั้งที่ล้านว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อาจจะได้คะแนนเสียงท่วมท้นจากการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าประเทศไทยให้ประชาชนเลือกนายกฯ โดยตรง พิธาอาจได้เป็นนายกฯ ก็ได้
แต่ในกติกานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพิธาคือ พิธารวมเสียงในสภาให้โหวตพิธาเป็นนายกฯ ไม่สำเร็จ สุดท้ายเศรษฐาเป็นนายกฯ และจนเกิด “เรื่อง” ทำให้แพทองธารขึ้นมาเป็นนายกฯ
ย้ำว่าการเป็นนายกฯ นั้นเราจะไม่มานั่งเถียงกันว่าเขาเก่งหรือเปล่า แต่เราจะดูว่าเขามาตามกระบวนการที่ถูกต้องหรือเปล่า จนเขาดำรงตำแหน่งเริ่มทำงานนั่นแหละ เราค่อยมาดูว่าเขาทำงานดีหรือไม่ดี
เขาตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชนได้ไหม
เขามีภาวะผู้นำไหม?
ถึงตอนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์จากผลงาน ไม่ใช่จากการเป็นลูกใคร แม่ใคร หรือเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย
แต่เราก็สามารถวิจารณ์หรือวิเคราะห์ได้ว่า ความเป็นหญิง เป็นแม่ เป็นลูกสาว ความเป็นชินวัตร เป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งของแพทองธาร
แต่ไม่ใช่ใช้ตรงนั้นมา “ประณาม” หรือแม้แต่มา “เยินยอ”
ถ้าเรารักในประชาธิปไตย รักจะเห็นวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยแข็งแรง สิ่งแรกที่เราต้องฝึกฝนขัดเกลาคือ จิตวิญญาณแบบสลิ่มที่หลอนผีทักษิณ และงมงายว่าโลกนี้ย่อมมีคนดีมากอบกู้บ้านเมืองไม่ว่าคนดีนั้นจะมาในนามของเผด็จการทหารหรือในนามของพรรคการเมือง
หรือนักการเมืองที่เราคิดว่าเป็นพระผู้ไถ่ล้ำเลิศประเสริฐยิ่งในกระดูกสันหลังที่ตรงกว่าใครในโลกหล้า
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022