เคาะทำเนียบ ‘แก้โจทย์หินท่องเที่ยว’ โตแต่จำนวน-โดนกินรวบ ธุรกิจโอด ประโยชน์ตกไม่ถึงท้องคนไทย

สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทย ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ดีเหมือนที่คาดหวังกันไว้ ในปี 2567 แม้ผ่านมาจนเหลืออีกเพียง 4 เดือนสุดท้ายของปีแล้ว ทำให้รัฐบาลต้องรับศึกหนักในการทุ่มสุดตัว เพื่อเร่งให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาแบบก้าวกระโดดให้ได้

โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อการเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) เพื่อเดินหน้าบริหารบ้านเมืองให้เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ โดยเฉพาะที่เคยบอกไว้ว่า เพื่อให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี จึงต้องงัดทุกกลยุทธ์ ทุกกระบวนท่า ทำให้ได้ตามที่พูดไว้

ภาพเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ มีเพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนหมู่บ้าน

คือ เป็นความหวังเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไป หลังจากเครื่องมืออื่นๆ ดูชะลอตัวติดๆ ดับๆ มาๆ หายๆ กันหมด อาทิ การส่งออกที่แม้เป็นบวกแต่อัตราขยายตัวยังอยู่ในภาวะชะลอตัวลง การบริโภคเอกชน หรือการลงทุนอยู่ในภาวะนิ่งเงียบ เพราะเศรษฐกิจในภาพรวมไม่เอื้อ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนหลายปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศด้วย

ภาคการท่องเที่ยวจึงถูกยกให้เป็นตัวแทนหมู่บ้าน สะท้อนผ่านรัฐบาลที่อัดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอำนวยความสะดวกในการเข้ามาเที่ยวไทยผ่านมาตรการหลักๆ อย่างวีซ่าฟรีด้วย

 

ถึงกระนั้น ยังพบว่า การท่องเที่ยวไทยยังไม่โตเท่าที่ควร เป็นการโตในแง่ของจำนวน แต่ในด้านรายได้ยังคงพยายามดิ้นรนอยู่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวที่เป็นเหมือนกันทั้งโลก ทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้จ่ายเม็ดเงินแบบรัดกุมมากขึ้น ประเทศที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายก็เข้ามาเป็นช่วงตามฤดูกาล ไม่ได้เข้ามาเที่ยวไทยแบบทั้งปีเหมือนนักท่องเที่ยวระยะใกล้ หรือแฟนคลับเหนียวแน่นอันดับหนึ่งของไทย

อย่างชาวจีน ซึ่งปี 2567 นี้ ตั้งเป้าหมายมีตลาดจีนเข้ามาเที่ยวไทยอยู่ที่ 8 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สถิติสะสมล่าสุดอยู่ที่ 4.5 ล้านคน และมีเป้าหมายผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 40 ล้านคนเป็นอย่างน้อย และก่อรายได้รวมประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท

สถิติตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยสะสมแล้ว 22,474,172 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1,058,026 ล้านบาท จำแนกจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 4,555,262 คน มาเลเซีย 3,104,092 คน อินเดีย 1,294,076 คน เกาหลีใต้ 1,193,255 คน และรัสเซีย 1,053,724 คน

พิจารณาจากตัวเลขรายได้ที่ต้องดันไปถึง 3.5 ล้านล้านบาท จากที่ทำได้แล้ว 1 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าช่วงที่เหลือของปีอีกประมาณ 4 เดือน ต้องดึงต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยอีก 18 ล้านคน เพิ่มรายได้อีก 2.5 ล้านล้านบาท รวมตลาดไทยเที่ยวไทยด้วย

ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทุ่มเททุกสรรพกำลังเพื่อเดินให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว

 

โจทย์หินของท่องเที่ยวไทยในตอนนี้เป็นเรื่องของการโตในแง่ดีมานด์หรือตัวเลข แต่รายได้ยังวิ่งตามไม่ทัน

ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือ การท่องเที่ยวของไทยยังคงขับเคลื่อนได้ในเชิงปริมาณ ซึ่งเชื่อว่าสามารถถึงเป้าหมาย 36-37 ล้านคนได้แน่นอน

แต่ในเชิงของรายได้จากการท่องเที่ยวนั้น อาจยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในวันนี้ยังเติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพ เพราะดีมานด์ในตลาดเป้าหมายมีเยอะมาก เพียงแต่เราต้องหาวิธีที่จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยแล้ว มีความประทับใจกลับประเทศต้นทางไปด้วย นำมุมมองที่ดีที่ได้รับไปบอกต่อได้อย่างไรบ้าง ถือเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแบบไม่ต้องออกแรงเลย

โจทย์ความท้าทายหลักที่ต้องเร่งแก้ไข เป็นเรื่องการดันรายได้นักท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการจำนวนมากได้นำเสนอผ่านสภาท่องเที่ยวมาว่า หากรัฐบาลต้องการขับเคลื่อนด้านเป้าหมายรายได้จำเป็นต้องให้ความสำคัญใน 4 เรื่องใหญ่ ได้แก่ การมุ่งเน้นการเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพ หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

โดยเฉพาะการตอบโจทย์ความต้องการที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลให้ได้มากที่สุด การดึงกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาช่วยทำเรื่องมาตรฐานของธุรกิจสุขภาพและความงามอย่างเป็นรูปธรรม

หากมีมาตรฐานจะทำให้ตลาดของนักท่องเที่ยวกลุ่มเวลเนสทัวริซึ่ม หรือนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาล จะมีโอกาสและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อีก 2 เรื่องเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับซัพพลายไซด์ของภาคธุรกิจท่องเที่ยวในทุกเซ็กเตอร์ ทั้งแหล่งท่องเที่ยว และบุคลากรในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และการวางแผนพัฒนาเมืองรองให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะเปลี่ยนแล้วก็ไม่ได้กลายเป็นเมืองน่าเที่ยวแบบที่เรียกกันในทันที

โดยช่วงแรกอาจต้องอาศัยผู้ประกอบการทัวร์นำเที่ยวของไทย ในการจัดทำแพ็กเกจท่องเที่ยวเชื่อมเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการทำความรู้จัก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ก็จะสามารถเดินไปได้ด้วยตัวเองแบบที่ภาครัฐเข้าไปสนับสนุนน้อยลง

รวมถึงการทำให้เม็ดเงินในภาคการท่องเที่ยวตกลงสู่ธุรกิจและประชาชนคนไทยเป็นหลัก ไม่ใช่ไหลเข้าไปในมือนายทุนจากประเทศใดก็ไม่รู้

เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแทบทุกวงการและทุกธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นภาคบริการ มีความเกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้ถูกรวบหัวรวบหางกินกลางตลาดตัวได้ง่าย

กล่าวคือ การนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ใช้บริการรถเช่าของผู้ประกอบการที่เป็นบริษัททุนต่างชาติ เข้าพักในโรงแรมหรือที่พักต่างๆ ซึ่งเป็นเครือทุนต่างชาติ กินอาหาร ซื้อของฝากในร้านที่เป็นของต่างชาติลงทุน แต่ใช้ให้คนไทยเป็นตัวแทนรับหน้าให้ หรือที่เคยได้ยินกันในชื่อนอมินี

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นๆ ทั้งสถานบันเทิงตอนกลางคืน ร้านนวดสปา ที่กลายเป็นทุนต่างชาติกันไปแบบโจ่งครึ่ม

 

อีกคนในวงการ ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ตลาดท่องเที่ยวไทย เราเจอปัญหามาตั้งแต่ทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ตอนนี้เจอเป็นทัวร์ทุบตลาด ที่สถานการณ์แย่กว่า เพราะนายทุนกลุ่มนี้จะทำทัวร์นำเที่ยวในราคาต่ำกว่าทุน เอาจำนวนหัวเยอะๆ ไว้ก่อน เพื่อทุบให้กลไกตลาดพัง จากนั้นจึงเข้ามาครอบครองตลาดในภายหลัง

ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในภาพรวม และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คือกลุ่มที่ทำดีอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาถูกมองในแง่ลบจากนักท่องเที่ยวที่ได้รับประสบการณ์ไม่ดีผ่านกลุ่มทัวร์เหล่านี้

“ถือเป็นเรื่องที่ต้องฝากให้รัฐบาลเร่งรัดแก้ไขให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนผิดกฎหมายจากทุกประเทศเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในประเทศไทย โดยที่คนไทยเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในผลประโยชน์เหล่านี้เลย” ศิษฎิวัชรกล่าว

ข้างต้นนี้เป็นเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการที่คว่ำหวอดในแวดวงท่องเที่ยว หากให้ความสำคัญและยกให้เป็นความหวังหมู่บ้านจริง ก็ควรต้องเร่งทุ่มหมดหน้าตักแก้ไขปัญหาที่ถูกชี้ให้เห็นภาพอย่างชัดเจนเหล่านี้

เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง