MatiTalk ‘ส.ส.ลิซ่า’ ภคมน พรรคประชาชน มองฟอร์ม ‘คนรุ่นเดียวกัน’ แต่ยืนคนละข้าง แพทองธาร-ณัฐพงษ์

“เป็นเรื่องน่าเศร้าของประเทศไทย ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่อำนาจอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ แล้วสิ่งที่คนคาดเดาได้เป็นการยอมจำนนกับมัน ซึ่งแน่นอนผลที่เกิดขึ้นมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะอะไร เพราะบริบทของการเมืองไทยมันไม่เคยมีอะไรใหม่และเปลี่ยนเลย” คือความรู้สึกที่ ภคมน หนุนอนันต์ หรือ ลิซ่า ส.ส.พรรคประชาชน เปิดใจกับมติชนสุดสัปดาห์ หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค

 

: จากยุบก้าวไกล สู่ยักไหล่แล้วไปต่อ กับพรรคประชาชน แล้วจะอย่างไรต่อ

ตั้งแต่เราต่อสู้มาในฐานะพรรคก้าวไกล เริ่มต้นจากการมีคดี เราคิดว่าเราสามารถจะทิ้งอะไรไว้ให้สังคมได้มากเหมือนกัน เราไม่ใช่ยอมที่จะยุบพรรคก้าวไกลแล้วหายไป เราทิ้งการต่อสู้คำโต้แย้งกับศาลรัฐธรรมนูญไว้ อย่างน้อยๆ สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดว่ากลับมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีก 20 ปีข้างหน้าจะได้มีสิ่งนี้ปรากฏว่าในปี 2567 เคยมีการพยายามจะยุบพรรคการเมือง พรรคการเมืองหนึ่งเคยมีคำโต้แย้งและการลุกขึ้นสู้

แสดงให้เห็นแล้วว่าเราไม่ได้ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และถ้าเกิดว่ายึดหลักนิติธรรมจริงๆ สิ่งเหล่านี้มันชัดเจนที่สุดแล้วก็หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับสังคม

ลิซ่าอาจจะเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ค่อยชอบคำว่า “ยักไหล่แล้วไปต่อ” เพราะรู้สึกไม่แยแสกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในด้านหนึ่งของการเป็นแคมเปญ “ยักไหล่แล้วไปต่อ” มันจำง่าย ที่สื่อสารกับคนส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว มันประสบความสำเร็จ

แต่สิ่งนี้เราไม่ควรจะยักไหล่กับมัน หมายถึงว่าการที่มีผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ เหนือประชาชนเข้ามาจัดการกับพรรคการเมืองที่เกิดจากเจตจำนงประชาชน เราไม่ควรยักไหล่ ด้วยสภาพแวดล้อมมันบังคับให้เราไปต่ออยู่แล้ว แต่รอบนี้ที่เราตั้งหลักได้เร็วต้องชื่นชมทุกองคาพยพ เพราะ 48 ชั่วโมงเราก็สามารถที่จะย้ายมาพรรคใหม่ได้และทุกอย่างก็ไปต่อได้ด้วยระบบหลังบ้านต่างๆ จากการมีประสบการณ์

แต่ถ้าถามว่าวันนี้โอเคไหม ก็ยังมีความรู้สึกอยู่แน่นอน แต่ด้วยสถานการณ์มันทำให้เราต้องไปต่อ

ถามว่าวันนี้รู้สึกอะไรไหมกับการที่เราเข้าไปสภาแล้วไม่เจอ พี่ต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน ไม่เจอพี่ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และคนอื่นๆ มันเหมือนขาดผู้ใหญ่ ขาดพี่ ขาดคนที่เรารู้สึกอบอุ่นใจ แต่ว่าอย่างที่จะบอกไม่มีทางเลือก สถานการณ์มันทำให้เราต้องไปต่อ

ลิซ่าคิดว่าตอนนี้เขา (ผู้มีอำนาจ) ก็คงกำลังคิดหาเครื่องมือใหม่ในการจัดการฝ่ายตรงข้ามให้ราบรื่นเหมือนในอดีต แต่คิดว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมหรอก วันนี้ต่อให้ไม่มีพรรคประชาชน ประชาชนที่เขาตระหนักได้ ตื่นรู้แล้ว คุณคิดว่าเขาจะกลับไปปิดหูปิดตา กลับไปไม่ตั้งคำถามกับสังคมได้เหรอ ไม่มีทาง

สิ่งที่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลยคือคนนะ ประชาชนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย สังคมมันเดินไปข้างหน้า คุณทำได้แค่ชะลอเท่านั้นแหละ แต่คุณไม่สามารถหมุนทวนกลับไปที่เดิมได้หรอก

: “หัวหน้าเท้ง” (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) หัวหน้าพรรคประชาชน เป็นอย่างไร

เรารู้จักกันมานาน ตั้งแต่อนาคตใหม่ วันที่เท้งให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง “เราไม่เคยเห็นผู้นำประเทศคนไหนที่ยอมรับต่อสาธารณะว่าผมไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมยินดีจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง” ลิซ่าคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งที่คนไทยชอบ คนไทยอาจจะชอบคนนอบน้อม แล้วไม่ใช่ยุทธศาสตร์ของเท้ง ด้วยเขาเป็นคนแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นคนนอบน้อมมาก เป็นคนถ่อมตัวมาก

เวลาที่มีใครถามว่า เท้งเป็นคนยังไง ลิซ่าจะพูดเสมอว่า พื้นที่การรับฟังของเท้งเยอะมากกว่าคนอื่นๆ มากกว่าคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มากกว่าคุณพิธา เท้งเป็นผู้นำพรรคที่ทำงานหลังบ้านด้วย เพราะฉะนั้น เขาก็จะรู้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นคนต่างๆ แล้วพอมานั่งพูดคุยกัน พื้นที่การรับฟังเขาเยอะมาก เขายินดีมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังยุบพรรคอนาคตใหม่และเป็นพรรคก้าวไกล วันนั้นรอประชุมแล้วมีโอกาสนั่งคุยกัน 2 คนคุยยาวๆ เขาบอกว่าเขารู้จักลิซ่านานแล้ว แต่ไม่เคยถามเลยว่า ทำไมลิซ่าถึงมาทำงานนี้ ลิซ่าก็เล่าถึงความฝัน ความผิดหวังในอดีตทางการเมืองของสีเสื้อต่างๆ แล้วพอมีพรรคอนาคตใหม่ ลิซ่าก็รู้สึกว่าเหมือนคำที่เขาบอก “สั่นกระดิ่งในใจ” ถ้ามันไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง เรารู้สึกว่าคำนี้มันดูแบบอุดมคติเหลือเกิน แต่มันจริงๆ นะ การที่จะตัดสินใจมาร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ เพราะว่าเสียงบางอย่างข้างในเรานั่นแหละมันบอกว่าเราเมินเฉยกับมันไม่ได้หรอก

ลิซ่าก็แชร์สิ่งนี้กับเท้งแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานจนกลับบ้านเขาก็ไลน์มาว่า ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวของลิซ่าให้เราฟัง เรารู้จักกันมาตั้งนานแล้วไม่เคยคิดเลยว่าลิซ่าจะรู้สึกแบบนี้

เราเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ละทิ้งความรู้สึกคน เขาไม่จำเป็นต้องไลน์หาลิซ่าอีกรอบหนึ่งก็ได้ และลิซ่าเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นแค่กับลิซ่าคนเดียว เขาเป็นคนที่ไม่เคยละทิ้งความรู้สึกเพื่อนร่วมงานเลย แล้วพื้นที่การรับฟังเขาเยอะมาก มันหมายความว่า ขณะที่เรานั่งคุยกันเกือบ 1 ชั่วโมงเขาฟังเราจริงๆ เขาไม่ได้ถามเพื่อที่จะฆ่าเวลา คำตอบของเราก็คงไปสะกิดอะไรบางอย่างเขา

เขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติของผู้นำในวันที่เรากำลังเริ่มเดินกันใหม่อีกครั้ง เป็นแบบสิ่งสำคัญมาก แล้วก็ไม่เคยตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นเท้ง ถ้าคนที่รู้จักเท้งจริงๆ นี่คือคุณสมบัติของผู้นำในวันที่มีคนบาดเจ็บ คือผู้นำที่เขาสามารถที่จะเชื่อมคนทั้งหมดได้ด้วยความเป็นเขา เขารับฟัง เขาถาม เขายื่นไมตรีให้กับผู้คน เท้งคือนักปฏิบัติที่วันหนึ่งต้องมายืนข้างหน้า คือคนที่ค่อยๆ เดินมาจากข้างหลังแล้วก็มายืนข้างหน้า เพราะฉะนั้น การที่กว่าเขาจะยืนข้างหน้าได้เขาสำรวจมาหมดแล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีอะไรบ้างที่เขาต้องปรับปรุง ต้องปิดช่องว่างนั้น ไม่ใช่การที่อยู่ๆ แล้วก็มายืนข้างหน้าเลย ลิซ่าคิดว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ

อย่าลืมว่าเท้งเป็น ส.ส.เขตมาก่อน การเป็น ส.ส.เขตมาก่อนเขาใกล้ชิดประชาชน กว่าคุณธนาธร คุณพิธาอยู่แล้ว เขารู้ว่าประชาชนต้องการอะไร เขารู้ว่าการคุยกับชาวบ้านมันต้องเป็นยังไง ลิซ่าคิดว่าเรื่องนี้เท้งได้เปรียบสุด ไม่มีใครได้เปรียบเท้งในบรรดาผู้นำ 3 คนที่ผ่านมา

เชื่อว่าหลังจากนี้อีก 6 เดือน เท้งจะฉายและจะเริ่มพีก เพราะเขาเป็นคนที่พร้อมจะปรับตัว พัฒนาตัวเองเสมอ เขารู้ว่าเขาควรจะปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อคนส่วนใหญ่ บางทีเขาอาจจะต้องเพิ่มเสน่ห์บางอย่าง คิดว่า 6 เดือนหลังจากนี้เท้งจะเป็นคนที่แบบทุกคนจะแปลกใจมาก ว่าวันนั้นกับวันนี้เขาเปลี่ยนไปมาก

ลิซ่าคิดว่าต่อไปน่าจะดีเบตยากนะ เพราะเขาคือ Data ขนาดใหญ่มากที่เก็บข้อมูลเอาไว้แล้วเขาเห็น Data นั้นเองทั้งหมด การจะสู้กับเท้ง คุณต้องแบบเขี้ยวๆ ข้อมูลเลยนะ

: แล้ว “นายกฯ คนใหม่” แพทองธาร ชินวัตร มองอย่างไร

รู้สึกว่าน่าจับตามองบรรยากาศประเทศไทยกับการที่มีนายกรัฐมนตรีในรุ่นเรา อายุเท่าเรา เพราะเราคิดว่าประสบการณ์ทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีเห็นมาโตมาไม่ได้ต่างอะไรกับเรา เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่ากังวลใจอย่างหนึ่ง สำหรับลิซ่าคือเราจะมีโอกาสได้เห็นนายกรัฐมนตรีแสดงศักยภาพจริงๆ หรือเปล่า

ทำไมถึงพูดแบบนี้ ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อมั่นในตัวคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะคนที่เคยเป็นสื่อมวลชนและคนที่ให้ความสำคัญกับภาษากายของคนเวลาพูดจาน้ำเสียงแววตา ลิซ่าสังเกตการให้สัมภาษณ์ของคุณอุ๊งอิ๊งตั้งแต่วันที่ประกาศว่าตัวเองจะเป็นแคนดิเดตจนถึงวันที่มีการโปรดเกล้าฯ สายตา น้ำเสียงคุณอุ๊งอิ๊งเป็นคนที่มีความเด็ดขาด เป็นคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำระดับหนึ่ง

เพียงแต่ว่าหลังจากนี้เราจะได้เห็นบทบาทเหล่านั้นจริงๆ ไหม

ต้องพูดว่าเรากลัวว่าคนที่รายล้อมคุณอุ๊งอิ๊ง เขาจะปกป้องมากจนเกินไป จนคุณอุ๊งอิ๊งไม่ได้แสดงศักยภาพ ไม่สามารถที่จะคลายข้อสงสัยให้กับสังคมว่าจริงๆ แล้วคุณอุ๊งอิ๊งเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

คิดว่าคนที่แวดล้อมคุณอุ๊งอิ๊งก็ต้องเชื่อมั่นในตัวคุณเองเหมือนกันว่าคุณอุ๊งอิ๊งสามารถเป็นผู้นำและสามารถแสดงศักยภาพให้ประชาชนเชื่อมั่นได้จริงๆ อย่าปกป้องกันจนมากเกินไปจนคุณอุ๊งอิ๊งไม่สามารถที่จะโชว์ภาวะความเป็นผู้นำได้ และลิซ่าเองก็รอและหวังว่าเราจะมีความเชื่อมั่นกับผู้นำคนใหม่

ดังนั้น ไม่ว่าองคาพยพของนายกฯ ไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม ทั้งออนไลน์ ออนกราวด์ ลิซ่าคิดว่าปล่อยให้เขาแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำ “คีย์เวิร์ดที่สำคัญ” สำหรับลิซ่า คือ คุณอุ๊งอิ๊งบอกว่า เขาคือคนที่ขออาสาเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง วันนี้เลิกพูดได้แล้วนะว่าคุณอุ๊งอิ๊งถูกคุณพ่อโยนภารกิจนี้ คุณอุ๊งอิ๊งบอกเองว่ายินดีที่จะอาสา เพราะอะไรคนเราถ้าจะอาสาทำอะไรสักเรื่องเราต้องมั่นใจในตัวเองว่าเราทำได้

 

: สงครามด้อมส้ม vs นางแบก ในสายตาอดีตคนทำสื่อ น่าห่วงค่อนข้างทวีความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่

มันไปไกลมากจนไม่สามารถสร้างพื้นที่สาธารณะในการถกเถียงได้เลย ทุกวันนี้เราไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์กันในเนื้อหาสาระแล้ว อยากจะเรียกร้องทั้งไม่ว่าคุณจะเรียกเขาว่าเป็นนางแบกหรือด้อมส้มก็ตาม สิ่งหนึ่งคุณอย่าลืมว่าคุณเป็นใคร คุณคือผู้สนับสนุนพรรคการเมือง พรรคการเมืองจะไปต่อ ดำรงอยู่ได้มันเกิดจากเนื้อหาสาระ เจตจำนง เราไม่ใช่คนที่ไปเชียร์กีฬากันที่เอากันแค่แบบสะใจแพ้ชนะแบบเราไปดู

กีฬาวันนี้ต้องจริงจัง ถกเถียงกับเนื้อหาสาระ คุณอย่าเอาแค่สะใจ

ชมคลิป