ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย | ประจำวันที่ 23-29 สิงหาคม 2567
• ไพร่ฟ้าหน้าหมอง
รัฐบวม เอ๊ย รัฐบาลจ๋า
คนที่มีที่ดินในกรุงเทพฯ ใช่จะร่ำรวยกันหมดทุกคนนะจ๊ะ
ยกตัวอย่าง อีตาปิยพงศ์ก็แล้วกัน มันค่อยเห็นชัดกันหน่อย
ผ่อนที่ดินจัดสรรที่ซอยวชิรธรรมสาธิต 67 เป็นซอยท้ายสุดของซอยวิชิรธรรมสาธิตกันเลยทีเดียว
แถวๆ หน้าวัดวชิรธรรมนั่นแหละ
ซื้อผ่อนที่ดินไว้ตั้งแต่ปากซอยสุขุมวิท 101/1 ถนนเข้ามายังเป็นถนนลูกรังสายเล็กๆ สองข้างทางเป็นท้องนาหมด
และที่ที่ผ่อนก็เป็นซอยตื้นๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลูกบ้านพักอาศัย
ก็เก็บเงินจากหยาดเหงื่อแรงงาน ผ่อนที่ดิน 3 แปลง 50 ตารางวา 2 แปลง 99 ตารางวา 1 แปลง แล้วปลูกบ้านไม้หลังเล็กๆ 2 หลัง
มาไม่นานมานี้ บ้านเริ่มผุพัง เอียงกระเท่เร่ ทำท่าจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เลยต้องรื้อทิ้ง
จะปลูกใหม่ก็ไม่มีปัญญา เลยเอากล้วยมาปลูกแทน
เผื่อจะมีรายได้ขึ้นมาบ้าง และให้ญาติบ้านข้างเคียงดูแลแทน
ก่อนหน้านั้นหลายปี พรรคพวกแบ่งที่ดินเมืองลำพูนให้ เป็นสวนลำไย และลิ้นจี่
ก็เลยขึ้นไปอยู่กะจะเป็นเกษตรกร และจะหนีสภาวะเป็นพิษในเมืองกรุงไปด้วย
แต่ก็เหมือนจะเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เจ๊งซ้ำสอง ลำไยปีไหนที่ติดดี ก็ราคาถูกและถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
แล้วเคราะห์ก็ซ้ำไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปุ๋ยทางดิน ปุ๋ยทางใบ ยาฆ่าแมลง แพงขึ้นราคากันพรวดๆ แรงงานก็ขาดแคลนและมีราคาแพง
แล้วช้อยก็ปิดฉาก เจ๊งปิดท้ายไปอีกรอบ
มาราวเดือนเศษๆ มานี้เอง ความซวยก็มาเยือนอีกรอบ
ได้รับแจ้งจากเขตพระโขนง ฝ่ายจัดเก็บรายได้ ให้ไปเสียค่าปรับ ทั้งที่อยู่อาศัยมานานหลายปี ก็ไม่เคยได้รับแจ้งอะไรจากทางเขต รวมทั้งเพื่อนบ้านในซอยเดียวกันทุกหลัง
สาเหตุคือปล่อยที่ดินรกร้าง
แม้จะปลูกกล้วยแทนแต่ไม่ได้แจ้งทางเขตว่าเปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยมาทำการเกษตร (ไม่รู้จริงๆ พระเดชพระคุณว่าจะต้องแจ้ง)
ก็ตาลีตาเหลือก เที่ยววิ่งขอหยิบยืมเงินจากพรรคพวกเพื่อนฝูงไปเสียค่าปรับ
เพราะทางเขตแจ้งว่า วันที่ 30 กรกฎาคม จะเกินวันสุดท้ายที่จะต้องจ่าย
รีบขึ้นรถเร็วจากลำพูนเข้ากรุงเทพฯ วันที่ 29 กรกฎาคม นั่งหลังขดหลังแข็งถึง 14 ชั่วโมง กว่าจะถึงเมืองกรุง
โดนปรับไปในวันที่ 30 กรกฎาคม เป็นเงินทั้งสิ้น 32,917.48 สตางค์ (สามหมื่นสองพันเก้าร้อยสิบเจ็ดบาทสี่สิบแปดสตางค์)
และจะต้องจ่ายอีกก้อนหนึ่ง แต่เงินแคะให้พระเดชพระคุณจนเกลี้ยงกระเป๋าแล้ว
จึงขอความกรุณา ขอผ่อนชำระอีก 2 งวด ซึ่งพระเดชพระคุณเจ้านาย เอ๊ย พระเดชพระคุณท่านก็เมตตาอนุญาต
อะไรมันจะโชคดีกับอีตาปิยพงศ์ ขนาดนี้ (ฮ่า)
ราคาประเมินที่ดินก็อยู่ในราคาตารางวาละหลักหมื่น บอกขายก็ไม่มีใครซื้อ
เกล้ากระผมจึงขอเรียนมาทางรัฐบวม ว่า อย่าเล่นหนักกับประชาชนตาดำๆ กันนักเลย
จะหาใส่ปากใส่ท้องแต่ละมื้อแต่ละคราวยังต้องคิดแล้วคิดอีก
แหม ที สัปปายะสภาสถาน ฝนตกมาคราวใด น้ำจากหลังคาไหลนองท่วมพื้น ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น
ที่ดินเขากระโดงของการรถไฟฯ ก็ยังจัดการอะไรไม่สำเร็จ เลยมาถึงทุกวันนี้
ข้าราชการรึ โอกาสเปิดให้คอร์รัปชั่นกันสนุก
ยิ่งนักกินเมือง เอ๊ย นักการเมืองไม่ต้องพูดถึงกัน รวยระดับร้อยล้าน พันล้าน หลายพันล้าน หรือหมื่นล้านเป็นเรื่องธรรมดา
ก็ขอระบาย เผื่อความทุกข์จะได้คลายลงไปบ้าง
ดูภาพ (ในอดีต) ที่ส่งมาก็แล้วกัน
เด็กเล็กๆ 3 คน กับวิถีทำมาหากินในเมืองหลวง เมื่อหลายปีมาแล้ว
นี่แหละประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนผู้คนอีกไม่กี่ตระกูล ที่ครอบครองที่ดินรวมๆ กันแล้ว ร่วมๆ ล้านไร่
รัฐบวม เอ๊ย รัฐบาล เก็บภาษี เก็บค่าปรับกับผู้คนเหล่านี้กันบ้างหรือเปล่า
มิน่าประเทศที่มีผู้คนเหลื่อมล้ำกันมากที่สุด เป็นลำดับหนึ่งของโลก ก็คือไทยแลนด์ แดนสยามนั่นเอง
จากไพร่ฟ้าหน้าหมอง
ปิยพงศ์ (เมืองหละปูน)
มีแต่เคยได้ยินว่าเขาแห่ปลูกกล้วย ปลูกมะม่วง
เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการเสียภาษีที่ดินแพงๆ
เพิ่งเคยได้ยินอย่างที่ “ปี้ปิยพงศ์” บอกมา
ว่าต้องแจ้งเขตเพื่อเปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยมาทำการเกษตรด้วย
ไม่งั้นเจอค่าปรับ
และยังต้องเจอภาษีที่ดินรกร้างเข้าไปอีก
อ่วม!
โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยรู้ข่าวสาร
แถมมีเงินใช้เดือน (ไม่) ชนเดือน
ไม่มีเงินเก็บ
ถูกค่าปรับ ถูกค่าภาษี ปีละหลายหมื่น
ก็เกิดภาวะอย่างที่ ปิยพงศ์ (เมืองหละปูน) เจอ
ต้องไปหยิบยืมเงินมาจ่าย
ไม่มีทางเลี่ยงก็ต้องขายที่ดินที่อุตส่าห์เก็บออมผ่อนมาทิ้ง
นี่คือภาวะแห่งความเหลื่อมล้ำ ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านตาดำๆ
ไม่มีใครแก้ได้
ถามรัฐบาล ท่านก็ว่าเป็นเรื่องของท้องถิ่น
ถามท้องถิ่น ก็ว่าต้องไปให้รัฐบาลแก้กฎหมาย
รัฐบาลใหม่หมาดๆ จะเป็น “นารีกู้แผ่นดิน” อย่างโหรเขาว่าได้หรือไม่
อย่าไปถามปี้ปิยพงศ์เชียว
เดี๋ยวเจอคนแก่ด่าเปิง (ฮา) •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022