วัชระ แวววุฒินันท์ : 15 ปี 9/11 ทำไมพลเมืองสหรัฐ ‘มากกว่าครึ่ง’ เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลตัวเอง

วัชระ แวววุฒินันท์
AFP PHOTO / SETH MCALLISTER

เร็วนะครับ 15 ปีแล้วสำหรับเหตุการณ์ 9/11 หรือ การก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด กลางกรุงมหานครนิวยอร์กที่เขย่าขวัญคนทั้งโลกนั่นเอง

ผมยังจำภาพเมื่อ 15 ปีก่อน ในวันนั้นได้ภาพที่ปรากฏบนจอทีวีเหมือนกับในหนัง ไม่อยากเชื่อว่าเป็นภาพจริง ชนจริง มีคนเจ็บคนตายจริงๆ

ช่วงนั้นเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ผู้คนต่างทิ้งปัญหาทิ้งความสนใจทั้งหลายทั้งมวล มาโฟกัสกับเรื่องนี้กันทั้งโลก เป็นการรับรู้ด้วยความรู้สึกตกใจ สะเทือนใจ ตื่นกลัว สงสาร หดหู่ และโศกเศร้ากับความสูญเสียโดยเฉพาะกับชีวิตคนกว่า 3 พันคน

แล้วตัวร้ายก็ถูกประกาศออกมาดังๆว่า คือ “อุซามะฮ์ บินลาดิน” ผู้นำกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงในนาม “อัลกออิดะฮ์”

เท่านั้นแหละ ผู้คนก็หันสายตาแห่งความโกรธแค้น ชิงชัง รังเกียจ เข้าใส่บินลาดินและขบวนการ ตามคำบอกเล่าของกระแสข่าวที่โหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุในฤดูฝน

มิไยที่เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธ แต่นั่นแหละผู้คนก็จะบอกว่า ผู้ร้ายย่อมไม่ยอมรับเสมอ

แล้วกระบวนการไล่ล่า ทำลายล้าง ขบวนการของบินลาดินในดินแดนตะวันออกกลางก็ปะทุขึ้น ผู้คนติดตามเชียร์ราวกับหนังเจมส์ บอนด์ ที่ลุ้นว่าเมื่อไหร่พระเอกจะจับตัวร้ายได้สักที

จากเหตุการณ์ในวันนั้น ก็ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนเพียงพอออกมาว่า การก่อวินาศกรรม 9/11 นั้นเป็นฝีมือของบินลาดินตามที่กล่าวหา แต่บินลาดินก็ถูกล่าสังหารและจบชีวิตลงไปเรียบร้อยแล้ว

แต่นั่นก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ เพราะการขยายอำนาจด้วยอาวุธสงครามของอเมริกาได้ถูกจุดชนวนไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่คนค่อนโลกได้ประทับตราให้แล้วว่าสมควร

หลังจากนั้นก็เริ่มมีข้อมูลและแนวคิดที่ว่า เหตุการณ์นี้เป็นแบบ “ทฤษฎีสมคบคิด” นั่นคือ รัฐบาลสหรัฐเป็นคนทำขึ้นมาเอง เพื่อหาสาเหตุในการบุกยึดอิรัก และเข้าครอบครองบ่อน้ำมันที่เป็นทรัพยากรสำคัญที่จะค้ำจุนเศรษฐกิจของสหรัฐได้

มีการนำหลักฐานต่างๆ ขึ้นมาอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานในเชิงทฤษฎีของการถล่มของตึกว่าถ้าเป็นเครื่องบินชนไม่น่าจะเกิดการระเบิดและพังตัวลงของตึกแบบนี้

หรือหลักฐานที่เป็นพยานบุคคลที่สังเกตเห็นความผิดปกติจากการระเบิดบางอย่าง

บางข้อมูลอ้างอิงไปถึงการตรวจดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นก่อนหน้านี้ก็พบมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดา โดยไม่มีสาเหตุ

เลยมาคิดว่า ถ้าข้อกล่าวอ้างนี้จริง หรือไม่จริงจะเป็นอย่างไร

อย่างแรกก่อนคือ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของกลุ่มอัลกออิดะฮ์จริง เราก็จะรู้สึกหดหู่ว่า เออหนอ การเกลียดชังกันของกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งกัน สามารถจะทำให้เขาคิด ทำร้ายชีวิตของคนอื่นที่ไม่มีส่วนรู้เห็นได้ลงคอเช่นนี้เชียวหรือ

ใจคอพวกเขาเป็นอย่างไรกันหนอ หรือคิดว่าเป็นคนละพวก

ก็ฆ่าได้ ทำลายได้

แต่กลับน่ากลัวยิ่งกว่า หากว่าข้อกล่าวอ้างถึง “ทฤษฎีสมคบคิด” นั้นเป็นจริง

ต้องถามว่าใจคอของพวกที่คิดและสั่งการนั้นทำด้วยอะไร คุณยอมใช้ชีวิตของคนในประเทศคุณ ของพี่น้องร่วมชาติคุณที่เป็นผู้บริสุทธิ์เพื่อเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมให้คุณเข้าบุกยึดดินแดนของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์อันมหาศาลอย่างนั้นหรือ

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าที่เราเห็นข่าว ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ นั้นเป็นของจริงหรือโกหก

AFP PHOTO / Mark RALSTON
AFP PHOTO / Mark RALSTON

น่าแปลกใจมากเมื่อเวลาผ่านไป ได้มีการสำรวจความเห็นของพลเมืองสหรัฐและพบว่า มากกว่าครึ่งที่เชื่อว่า เหตุการณ์ 9/11 เกิดจากฝีมือของรัฐบาลพวกเขาเอง

อะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกเช่นนั้น

เมื่อย้อนดูเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ของอเมริกาและของโลก ก็มีกระแสชวนสงสัยว่าเป็นการลวงโลกโดยฝีมือรัฐบาลสหรัฐเอง

ใครที่ได้เคยอ่านเรื่องราวของการสังหารประธานาธิบดี จอห์นเอฟ. เคนเนดี้ ของสหรัฐ หรือเคยดูภาพยนตร์เรื่อง JFK จากการสร้างของ โอลิเวอร์ สโตน คงจะนึกออกว่ามันเป็นไปได้จริงๆ

การตายของเคนเนดี้ มีข้อให้ชวนสงสัยมากมาย ทั้งโอกาสที่เปิดกว้างมากของพื้นที่ที่เอื้อต่อการลอบสังหาร การจับตัวคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว และไม่พบว่ามีใครที่ร่วมขบวนการด้วย เป็นการกระทำการอุกอาจเพียงคนเดียว และในขณะที่กำลังจะพาตัวคนร้ายไปคุมขัง จู่ๆ ก็มีคนมายิงปืนดับชีวิตต่อหน้าต่อตานายตำรวจ และเอฟบีไอหลายคน

เรียกว่าเป็นการ “ฆ่าตัดตอน” ก็คงจะถูก

หรือแม้แต่ “ทฤษฎีกระสุนวิเศษ” ที่ไม่รู้จะใช้เหตุผลไหนมาอธิบายกระสุนและวิถีกระสุนที่คร่าชีวิตเคนเนดี้ และทำให้คนในรถคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บได้มีน้ำหนักเพียงพอ จนต้องยกให้เป็นกระสุนวิเศษ

และข่าวเชิงลึกคือ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก จนคนอยู่เบื้องหลังกลุ่มใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงไว้ไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อควบคุมไม่ได้ก็สมควรที่จะ… ไปซะ

หรือใครที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป คงจะนึกภาพความน่ากลัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ออกได้ไม่มากก็น้อย นั่นก็เป็นเพราะสหรัฐสร้างภาพให้คอมมิวนิสต์นั้นน่ากลัวเหมือนยักษ์มาร เหมือนผู้ร้ายทำลายโลก เพื่อที่จะได้ทำสงครามปราบปรามให้สิ้นซาก

ประเทศไทยก็ถูก “ป้ายยา” ให้รู้สึกหวาดกลัวคอมมิวนิสต์จนต้องยอมให้สหรัฐเล่นบท “พี่ชายที่แสนดี” คอยปกป้องดูแลน้องดูแลไปดูแลมา ก็มาเอาเปรียบน้องด้วยวิธีต่างๆ แบบเนียนๆ

ในยุคนี้อัลกออิดะห์ไม่เรียกแขกแล้ว แต่เป็นกลุ่มไอเอสเข้ามาเรียกเรตติ้งแทน มาด้วยผลงานเขย่าโลกถี่ยิบมากมายในช่วงปี 2 ปีนี้ ซึ่งก็มีคนออกมาดักคออีกว่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งของ “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่ถูกพูดถึงกันมาก

เดี๋ยวนี้พอโลกมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมา ก็จะมีการคิดต่าง คิดแย้ง คิดแบบมุมกลับให้ผู้คนได้ขบคิดตามไม่น้อย

โดยเฉพาะในเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ที่ทฤษฎีสมคบคิดจะตามมาเป็นติ่งทันที…แม้แต่ในประเทศไทย

เออหนอ ตอนนี้เราเห็นอะไร ดูอะไร ต้องคิดให้หนักว่าเป็นเรื่องจริง หรือมีเบื้องหลังอะไร

ที่เรามักเห็นลุงตู่ขี้โมโหง่าย ต่อปากต่อคำแรงๆ กับสื่อมวลชนนั้น อาจจะไม่ใช่ “ของจริง” ก็ได้ แต่อาจจะมีใครสมคบคิดอยู่ข้างหลังว่า “เข้มๆ เข้าไว้ท่าน เสียงดังเยอะๆ ยัวะมากๆ เดี๋ยวเข้าแผนเรา” ก็เป็นได้

เหมือนประโยคที่มีคนเคยพูด “อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น”

ยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ

AFP PHOTO / STAN HONDA
AFP PHOTO / STAN HONDA
AFP PHOTO / HENNY RAY ABRAMS
AFP PHOTO / HENNY RAY ABRAMS