ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
“ยิ่งยุบ…ยิ่งโต” ดูจะเป็นคำนิยามที่เหมาะสมกับอดีตพรรคก้าวไกล หลังเผชิญเหตุการณ์ถูกยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ยุบพรรคก้าวไกล พร้อมตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรค 5 ปี และตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ห้ามตั้งพรรคใหม่ภายใน 10 ปี เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ กรณีเสนอนโยบายหาเสียงเลือกตั้งแก้ไข ม.112
ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ทั้งชุดที่ 1 และ 2 ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 25 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 รวมทั้งสิ้น 11 คน ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ในจำนวนนี้มี 5 ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ทันที ได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน, เบญจา แสงจันทร์, สุเทพ อู่อ้น และอภิชาต ศิริสุนทร ขณะที่ ส.ส.พรรคที่เหลือ 143 คน ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน ตามกฎหมายกำหนด
เป็นการพิพากษาตัดสิทธิพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 มีประชาชน 14 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกลมา
ทว่า ภายหลังยุบก้าวไกลได้เพียงวันเดียว เกิดการขับเคลื่อนองคาพยพของอดีต ส.ส. ไปสู่พรรคใหม่อย่างรวดเร็ว พร้อมปรากฏชื่อ “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล เจ้าของฉายา “ไอ้เท้งเอาตายแน่” ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ในนาม “พรรคประชาชน”
และมีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ได้แก่ ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค, ชุติมา คชพันธ์ เหรัญญิก, ณัฐวุฒิ บัวประทุม กรรมการฝ่ายดูแลทะเบียนพรรค และพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรค
มูฟเมนต์การเปิดตัวพรรคใหม่และขับเคลื่อน ส.ส.ครั้งนี้ รวดเร็วต่างจากปี 2563 เมื่อครั้งยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างสิ้นเชิง ไม่มีช่วงเวลาปล่อยให้เกิดการเพาะพันธุ์งูเห่า ซ้ำรอยครั้งก่อน เมื่อ 143 ส.ส. จับมือแน่นเข้าพรรคใหม่อย่างพร้อมเพรียง พร้อมเปิดรับสมาชิกพรรคและรับบริจาคเงินสนับสนุนการทำงานของพรรคผ่านระบบออนไลน์
โดยพรรคตั้งเป้าสมาชิก 1 แสนคนภายในเดือนสิงหาคม และเป้าหมายเงินบริจาค 10 ล้านบาท ผ่านมาครบหนึ่งอาทิตย์มียอดสมัครสมาชิกพรรคมากถึง 5 หมื่นกว่าคน ส่วนยอดเงินบริจาคทะลุ 25 ล้านบาท
สะท้อนชัดว่าพรรคส้มยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างถล่มทลาย
“อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้พูดถึงการยุบก้าวไกล ว่าเหมือนหนังม้วนเดิมหวนกลับมาฉายซ้ำ แต่นี่คือสัญญาณของการเดินหน้าต่อ การยุบพรรคจะกลายเป็นกระสุนด้าน หากพวกเราทุกคนเดินหน้าต่อทันที
“การยุบพรรคการเมืองทำสำเร็จเพราะผลทางกฎหมายบอกให้เป็นเช่นนั้น แต่เราต้องอ่านให้ขาดว่าจะทำอย่างไรให้การยุบพรรคกลายเป็นกระสุนด้าน เขายุบพรรค เพราะต้องการให้พิธา ชัยธวัช และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลหายไปจากการเมือง”
“แต่มันจะกลายเป็นกระสุนด้านทันที ถ้าวันรุ่งขึ้นพิธากับชัยธวัชยังคงเดินทางไปทั่วประเทศและทำงานการเมืองเหมือนเดิม”
“เขายุบพรรค เพราะต้องการให้ตั้งพรรคใหม่ไม่ทัน แต่ถ้าวันรุ่งขึ้นมีการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา สมาชิกพรรคก้าวไกลนับแสนคนเดิมแห่ไปสมัครพรรคใหม่ให้พร้อมเพรียงกัน ให้เกินแสนภายในชั่วพริบตาเดือนเดียว เงินบริจาคถล่มทลาย ส.ส. พร้อมเพรียงย้ายไปพรรคใหม่”
“อาวุธที่ชื่อยุบพรรคจะกระสุนด้านทันที และจะหมดสมรรถภาพอย่างสิ้นเชิงในการเลือกตั้ง 2570 ประชาชนอาจจะคับแค้นใจ แต่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติคือประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะขวางการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จะรู้ว่าขวางไม่ได้”
“เมื่อหนังม้วนเก่าวนรอบมา เราอาจจะรู้สึกท้อแท้ผิดหวัง แต่ทุกวงจรของสังคมมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้น และการยุบพรรคทุกครั้งยิ่งทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศตาสว่างทั้งแผ่นดิน อดทนไว้ แสดงออกกันเต็มที่ในวันนี้ อดทนไว้รอปี 2570 รวมพลังกันโหวตพรรคต่อไปให้เกิน 300 เสียง 20 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อเอาใบอนุญาตใบแรกมา แล้วใบอนุญาตที่สองก็หนีไม่พ้น ต้องให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลเท่านั้น”
ด้าน “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์พรรคประชาชน ที่พุ่งทะยานว่า “เราแสดงให้เห็นแล้วว่า กระบวนการทำให้พรรคประชาชนเป็นสถาบันทางการเมืองสืบต่ออุดมการณ์พรรคตั้งแต่อนาคตใหม่และก้าวไกล วันนี้จากที่ผมได้รับการเลือกเป็นหัวหน้าพรรค สามารถออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าภารกิจของผมและพวกเราจากนี้ เรามีภารกิจสร้างรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งปี 2570 ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า และต้องตั้งเป้าหมายให้สูงยิ่งขึ้น นอกจากการเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ในปี 2566 เป้าหมายขั้นต่ำของเรา”
“เราอยากจะชนะการเลือกตั้งโดยสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา” หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว
ในขณะที่พรรคประชาชนกำลังเดินหน้าไปต่อ ก็ต้องเผชิญการรุกรานจากฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี ประกาศขอตรวจสอบและจะยื่นยุบพรรคอีกรอบ โดยระบุว่า พรรคประชาชนเกิดจากการที่นำพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมาเปลี่ยนชื่อพรรค เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นสถาบันสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่จากการตรวจสอบผ่านเว็บ กกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคต้นกำเนิดของพรรคประชาชน มีสาขาพรรค 3 สาขา ภาคเหนือ 2 สาขา และภาคกลาง 1 สาขา ไม่มีสาขาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กฎหมายพรรคการเมืองกำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพ ถ้ามีสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี
นั่นหมายความว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องมีสาขาครบทั้ง 4 ภาค ห้ามขาดหายไปติดต่อกัน 1 ปี ถ้าไม่ครบพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องสิ้นสภาพ
ข้อมูลหน้าเว็บ กกต.พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมีสาขาพรรคเพียงแค่ 2 ภาค ซึ่งไม่ครบ 4 ภาค และจัดตั้งตั้งแต่ปี 2555 เพื่อความโปร่งใส กกต.ต้องตรวจสอบและชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ
พรรคไทยภักดีได้ไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ กกต.ตรวจสอบ และดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ถูกแตะเบรกอย่างรวดเร็วจากพรรคประชาชนที่ออกมาให้ข้อมูลตอบโต้ รวมทั้ง “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ที่ได้ออกมายืนยันแล้วว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลตั้งสาขาครบ 4 ภาค ภายใน 1 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด
แต่หมอวรงค์ก็ยืนยันจะไปยื่น กกต.ตรวจสอบ โดยส่ง “ทศพล พรหมเกตุ” เลขาธิการพรรคไทยภักดี เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. ตรวจสอบการมีสาขาพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลจากระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองย้อนหลัง
รวมถึงประเด็นเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินให้กับพรรค ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการรับบริจาคของพรรคการเมืองต้องเป็นไปตามข้อ 42 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2563 ที่ให้อำนาจหัวหน้าพรรคและเหรัญญิก เป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์ โดยมีหลักฐานสำคัญประกอบการเปิดบัญชีคือ หนังสือรับรองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคจาก กกต. โดยวงเล็บว่าเพื่อการบริจาค ซึ่งการรับรองจาก กกต.มีระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่ใช่ว่าประชุมวันนี้แล้วมีหนังสือรับรองไปเลย
ถ้ายังไม่ได้ให้การรับรองก็ให้ กกต.ตรวจสอบการรับบริจาคเงินดังกล่าวจากประชาชนว่าเป็นไปตามข้อ 42 หรือไม่
และที่สำคัญอาจจะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา เป็นหน้าที่ของ กกต.ในการตรวจสอบ
รวมถึง “ราเชน ตระกูลเวียง” หัวหน้าพรรคทางเลือกใหม่ ก็ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. ให้ตรวจสอบพรรคประชาชนอย่างเร่งด่วน จากการเปลี่ยนผ่านพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมาเป็นพรรคประชาชน มีหลายประเด็นที่ไม่ชอบมาพากลเช่นกัน
แม้จะถูกเตะตัดขาในยามที่พรรคกำลังเดินหน้าเติบโตจากประชาชนที่สนับสนุน
ซึ่งก็ยังไม่รู้ปลายทางว่าการสกัดขาเหล่านี้จะมีผลหรือไม่
แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ พรรคประชาชนยังเป็นพรรคการเมืองแห่งความหวังครั้งใหม่ของประชาชนผู้รักในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และชวนให้ไปลุ้นในปี 2570 ว่าพรรคจะสามารถปักธงส้มทั่วประเทศได้หรือไม่ พร้อมกับถูกตามล้มจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่รอดู…
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022