‘อรรถจักร์-พวงทอง’ มองการเมืองไทยอย่างห่วงๆ หลังคดี ‘ยุบก้าวไกล’

หมายเหตุ “ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์” ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ “รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์” คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับรายการ The Politics ทางช่องยูทูบมติชนทีวี เมื่อวันที่ 8 และ 9 สิงหาคม ตามลำดับ เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองไทยหลังคดียุบพรรคก้าวไกล

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

“คําตัดสินศาลที่ออกมาเมื่อวาน ผมคิดว่าเขามั่นใจแล้วว่าเขาควบคุมได้ ตอนแรกๆ ผมคิดว่าเขาก็รับรู้อยู่ว่าหลังจากคำตัดสินเมื่อวาน กระแสความไม่พอใจสูงมาก แต่ผมยังคิดว่าถ้าเขาออกมาแบบนี้ แสดงว่าเขาประเมินแล้วว่าเขามีศักยภาพพอที่จะควบคุมแรงปะทุทั้งหลาย ซึ่งผมคิดว่าเขาคิดผิด

“ผมคิดว่าเขาประเมินความรู้สึกของพี่น้องประชาชนต่ำเกินไป สิ่งที่ถ้าหากเขาเข้าใจสังคมไทย คนในสังคมไทยทั้งหมดจะรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้ที่ถูก ‘บีฑา’ ผมใช้คำว่า ‘บีฑา’ คนที่ถูกบีฑาและยังสู้ หมายถึงว่าถูกกด ถูกบีฑา แต่ก็ยังสู้ในหลักการเดิม

“ในฐานะตัวบุคคล คนแบบนี้คนไทยจะรักชื่นชมมากๆ ซึ่งคุณสมบัตินี้มันไปสอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในอนาคตใหม่ ก้าวไกล และพรรคใหม่ที่กำลังจะเกิด

“ไอ้อารมณ์ความรู้สึกของคนที่อยากจะช่วยผู้ที่ถูกบีฑา เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะผลักให้อารมณ์ที่รักความเป็นธรรมของคนสิบกว่าล้านคนแรงมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เอง ผมคิดว่าชนชั้นนำไม่ทันนึกว่ามันจะมีแรงกระเพื่อมแรงขนาดนี้

“แรงโต้กลับในที่นี้อาจจะไม่ถึงม็อบ แต่หมายถึงแรงโต้กลับอันเกิดจากการบีบการบีฑาตรงนี้ มันจะปะทุมาอย่างรุนแรงมากขึ้น ในการตั้งคำถามกับสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ เป็นสิ่งที่กดดันเขา

“ผมเชื่อว่าถ้า 44 คน (กรณี ส.ส. 44 คนของอดีตพรรคก้าวไกล อาจผิดจริยธรรมในการร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข ม.112) คดีออกมาเร็ว กระแสในสังคมโซเชียลจะออกมาแรงมาก แรงแบบที่ชนชั้นนำจะนึกไม่ถึง ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งอาจจะยอมโดนคดีกันมากขึ้นก็ได้ หรืออื่นๆ มันจะเป็นแรงกระเพื่อมใต้น้ำที่หนักหน่วงอย่างที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

“อย่าลืมนะครับ ก่อนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาปี 2516 เรื่องเล่า-เรื่องนินทากลุ่ม 3 ทรราชนี่มันกระจายทั่วไป และไอ้การกระจายมันไปสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของคนก่อนปี 2516 ที่ทำให้ปะทุขึ้น จากนี้ไป ผมคิดว่าข่าวลือและอื่นๆ จะโหมมา…

“ดังนั้น แรงกระเพื่อมอันนี้มันเป็นแรงกระเพื่อมทางวัฒนธรรมที่แรงมาก และกำลังจะเปลี่ยนวิธีคิด วิธีรู้สึกของคนไทยไปอีกมากกว่า 14 ล้านคน…

“คนที่จะเดินมาในเส้นทางวิธีคิดของอนาคตใหม่หรือก้าวไกล ผมคิดว่าจะมีมากขึ้น ย้ำก่อนว่าถ้าหากเราเข้าใจวัฒนธรรมไทย เมื่อพบคนถูกบีฑา คนจำนวนหนึ่งจะรู้สึก ‘ฉันพร้อมที่จะช่วยเธอ’

“ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงนี้คือเขาจะหันกลับมาศึกษาอนาคตใหม่-ก้าวไกลมากขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือว่าถัดจาก (คดี ส.ส.) 44 คนไปแล้ว ถ้ามันมีเหตุปะทุขึ้นมา แรงความไม่พอใจทางวัฒนธรรมที่ผมพูด มันก็มีโอกาสปะทุมาเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่องอื่นๆ ก็หวังว่าถ้าเป็นแนวรบทางวัฒนธรรม มันจะไม่รุนแรงทางกายภาพ”

พวงทอง ภวัครพันธุ์

“เขาอาจจะคิดแบบนั้นว่า ต่อให้ตัดสิทธิ์ (ส.ส.) อีก 44 คน ประชาชนก็ไม่สามารถที่จะมีปฏิกิริยาอะไรที่จะส่งผลต่อความมั่นคงของเขาได้

“อาจจะมีแฟลชม็อบที่นู่นที่นี่นิดหน่อย แล้วเดี๋ยวก็หายไป ต่อให้มีแฟลชม็อบใหญ่แบบของเยาวชนตอนปี 2563 เขาก็สามารถจัดการได้ เอาอยู่หมัด จับผู้นำเยาวชนกี่สิบคนติดคุก เอาคดีแขวนคอไว้เพื่อที่ไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรได้อีก เขาก็ทำสำเร็จมาแล้ว

“ม็อบขนาดใหญ่ปี 2563 เขาก็จัดการได้สำเร็จมาแล้ว เขาอาจจะเชื่อว่าก็คุ้ม (กับการทำลายพรรคก้าวไกล) เขารับมือได้กับการประท้วงที่จะเกิดขึ้น…

“ดิฉันคิดว่าคนโกรธมากๆ แล้วก็จะเห็นว่าปฏิกิริยาที่ออกมาอย่างวันนี้ การระดมเงินบริจาค (ของพรรคประชาชน) ขึ้นเร็วมากๆ

“เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า ประชาชนไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีบทเรียนมาเยอะว่าคุณประท้วงขึ้นมา แล้วในที่สุด ประชาชนก็ถูกปราบ ถูกฆ่า ถูกจับกุม แต่ผู้มีอำนาจไม่เคยต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

“ล่าสุด ปี 2553 พรรคที่สนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็ไปจับมือกับพรรคสองลุง ที่ผู้นำของเขาเคยเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชนคนเสื้อแดง ก็แล้วกันไป คนตายก็ตายไป ผู้นำก็รอดไป ไม่ต้องเอาผิดใครทั้งสิ้น

“ตอนเยาวชนปี 2563 เยาวชนสู้มากๆ แล้วยังไง ทุกคนมีคดีกัน 10-20 คดีติดอยู่กับตัว จำนวนหนึ่งก็ต้องหนีออกนอกประเทศ เพราะไม่มีความหวังว่าจะสู้กับกระบวนการยุติธรรมแบบนี้ได้ ฉะนั้น ใครจะเอาตัวเองไปเสี่ยง ถ้ารู้สึกว่าสู้แล้วไม่ได้อะไร สู้แล้วแพ้ สู้แล้วเจ็บตัว

“ถ้าสู้แล้วมันมีโอกาสที่จะชนะ ดิฉันคิดว่าคนจำนวนหนึ่งก็พร้อมที่จะเสี่ยงเอาชีวิตของตัวเอง ความปลอดภัยของตัวเอง (เข้าแลก) เพื่อที่จะมอบสังคมที่ดีทิ้งไว้ให้ลูกหลาน แต่ปัญหาคือมันไม่เคยดีขึ้น สู้แล้วก็ตายฟรีเจ็บฟรี คนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงก็ไม่เคยต้องรับผิด

“ดิฉันคิดว่ามันมีความโกรธอยู่ แต่มันก็มีความกลัวด้วย ที่รู้สึกว่าตายฟรีแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา…

“ดิฉันคิดว่าคนจะมีภาพสังคมชัดเจนขึ้น คนที่ยังเลือกกลุ่มเพื่อไทยกับพวกพรรคสองลุงทั้งหลายแหล่ ก็ทำใจที่จะอยู่กับระบอบเดิม ระเบียบสังคมแบบเดิม

“คือคนที่เลือกเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย ดิฉันคิดว่าเขาก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ดีขึ้น แต่เมื่อพรรคเขาไม่เปลี่ยน พรรคเขาจำเป็นที่จะต้องจับมือกับทหารกับกลุ่มอำนาจเก่า เขาก็ทำใจว่า โอเค อยู่แบบนี้ก็ได้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าสังคมที่ฉันอยากจะเป็นคืออะไร

“อีกอันหนึ่งที่อยากให้มอง ก็คือ การเปลี่ยนแปลงนี้มันเปลี่ยนภาพการเคลื่อนไหวของมวลชนด้วยเหมือนกัน ตอนปี 2563 ที่เราเห็นการเคลื่อนไหวของมวลชนออกมาจำนวนมหาศาล อาจมีคนบอกว่าตัวจุดชนวนเป็นการยุบพรรคอนาคตใหม่

“แต่จริงๆ การเคลื่อนไหวของเยาวชนปีนั้นไม่ได้ผูกกับพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล สมาชิกพรรคก้าวไกลเป็นแค่คนไปซัพพอร์ตอยู่ข้างๆ เวที หรือว่าไปเดินอยู่ในมวลชน ให้กำลังใจเยาวชนเท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นหัวใจของการเคลื่อนไหว

“แต่ในอนาคตอันใกล้ ถ้าสมมุติจะมีการเคลื่อนไหวของมวลชน ประเด็นเรื่องก้าวไกลจะเป็นหัวใจสำคัญ ควบคู่ไปกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อสังคมที่ยุติธรรมมากขึ้น”