ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (จบ)

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

เรื่องหนึ่งที่สนุกเกี่ยวกับการไหว้ด้วยเครื่องกระดาษคือการพับ บางท่านเชื่อว่าการพับนั้นช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินที่ไหว้ เกิดเป็นศิลปะการพับกระดาษเงินกระดาษทองที่สืบทอดกันในครอบครัว หลากรูปหลายแบบ กลายเป็นความทรงจำของผู้คนที่มีต่ออาม่าย่ายายของตน

ทางฝั่งฮกเกี้ยน ที่จริงการเผากระดาษโดยมากก็ไม่ค่อยได้พับกันเสียเท่าไหร่ ถึงจะไม่พับก็ไม่ผิดกติกาอันใด เพียงแต่บางท่านบอกว่าการพับกระดาษทองหรือกิ๊มนั้น ช่วยให้เผาไหม้ได้ง่ายขึ้น จึงพับง่ายๆ โดยม้วนกระดาษเป็นแท่ง จากนั้นยัดปลายทั้งสองข้างให้ดูเหมือนก้อนทองโบราณ โดยให้ลายทองหรือเงินอยู่ด้านบน นึกถึงเวลาห่อโรตีก็ได้ครับ

ท่านว่า แม้จะพับง่ายๆ แบบนี้แต่ก็มีเคล็ดนิดหน่อย หากเป็นกระดาษสำหรับไหว้เทพเจ้าให้พับปลายกระดกขึ้น แต่ถ้าเป็นกระดาษไหว้บรรพชนทั้งเงินหรือทองก็จะไม่พับปลายขึ้น เพื่อให้แตกต่างกัน

บางที่วิจิตรหน่อยก็พับในรูปแบบอื่นๆ เช่นทำเป็นกระทงทอง ทำเป็นสับปะรดซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวฮกเกี้ยนชื่นชอบมาก เพราะไปพ้องกับคำว่า “อ่องหลาย” ที่หมายถึง โชคลาภมาถึง

แต่ผมเข้าใจว่าอาจเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์กันขึ้นมาในภายหลัง เพราะที่เคยเห็นมา โดยมากก็เผาทั้งที่ไม่ได้พับกันนี่แหละครับ

 

พิธีที่เป็นทางการ ผู้ประกอบพิธีหรือฮวดกั๊วจะให้เจ้าภาพทำการเผากระดาษก่อนจะทำพิธีส่งครูหรือส่งเทพเจ้าที่ได้อัญเชิญมา (ส่างซื้อ/ส่างสีน) คือควรจะต้องมอบเงินเป็นสินน้ำใจต่อเทพเจ้าก่อนที่ท่านจะกลับ แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้คนมักเข้าใจไปว่า การเผากระดาษต้องเป็นพิธีสุดท้าย จึงมีการสลับขั้นตอนกับประเพณีดั้งเดิม บางครั้งผู้ประกอบพิธีจึงจำต้องทำพิธีส่งครูไปเงียบๆ ผู้เดียวในระหว่างที่เจ้าภาพเผากระดาษไปได้สักระยะหนึ่ง

การเผากระดาษนี้ยังมีขั้นตอนเล็กๆ อีกนิดที่เกี่ยวข้อง คือจะต้องทำการฮองเฮี่ยนหรือยกขึ้นจบถวาย แล้วนำกระดาษดังกล่าวไปวนเหนือควันธูปที่กระถางธูปสามครั้ง ครูบาอาจารย์ท่านว่าควันธูปจะได้ติดไปบนกระดาษ แล้วทำให้เทพเจ้าหรือบรรพชนท่านทราบได้ว่า กระดาษเงินกระดาษทองนั้นน้อมถวายแด่ผู้ใด เพราะจะมีกลิ่นธูปจากกระถางธูปของท่านติดอยู่ เหมือนเป็นสัญญาณให้ทราบ

นอกจากนี้ ในฝ่ายไสยเวทจีนจะมีคาถาทวีจำนวนเงินทองหรือคาถาเสกสร้างธนทรัพย์ (โจ้จี๋จิ่ว) เมื่อท่องแล้วก็เชื่อว่า เงินทองที่น้อมถวายจะทวีจำนวนเพิ่มพูนขึ้น จากสิบจะกลายเป็นร้อยเป็นพัน

ผู้ประกอบจะท่องคาถานี้เมื่อเจ้าภาพยกกระดาษเงินกระดาษทองทูนขึ้นถวาย หรือเมื่อผู้ประกอบพิธีถวายเอง นอกจากทวีจำนวนแล้วยังมีเนื้อความอวยพรให้เจ้าภาพมีความสุขความเจริญไปด้วยเลยทีเดียว

 

ผมจะขอนำความหมายในภาษาไทยของคาถานี้มาแสดง เพราะมีอะไรที่น่าสนใจ ดังนี้

“ศิษย์น้อมทูนถวายธนทรัพย์ธาตุโลหะ มลายลงในธาตุไฟแห่งทักษิณทิศ ฟ้าก็เสกสร้างธนทรัพย์ ดินก็เสกสร้างธนทรัพย์ เงินทองนี้จากสิบจงแปรเป็นร้อย จากร้อยจงแปรเป็นพัน จากพันจงแปรเป็นพันๆ หมื่นๆ ทวีขึ้นไป เงินทองนี้แปรไปมากมายดุจมหาสมุทรบูรพา เงินทองนี้แปรไปมากมายดุจภูผาทักษิณ น้อมอัญเชิญเทพประธานกับทั้งเหล่าเทพบริวารทั้งหลาย โปรดทรงรับธนบริโภคเหล่านี้ ศิษย์ขอวิงวอน โปรดขจัดทุกข์ภัยแก่ครอบครัว สองวัยทั้งใหญ่เล็ก แลแก่-เด็กโดยถ้วนหน้า ขอผาสุกทุกเพลา ทรัพย์ทวีเนืองนองเทอญ”

คำว่า “สองวัยทั้งใหญ่เล็ก แลแก่-เด็กโดยถ้วนหน้า” ผมแปลมาจากคำว่า “ตั่ว เซ่ โล้ อิ้ว”ในภาษาฮกเกี้ยน คำนี้อาจารย์ของผมท่านว่ามีนัยที่น่าสนใจอยู่ กล่าวคือ คำว่าตั่วเซ่แม้จะแปลว่าใหญ่เล็ก แต่ควรแปลว่าสองวัย ซึ่งหมายถึงตั่วห่าน คือวัยผู้ใหญ่อันหมายถึงผู้มีอายุสามสิบปีขึ้นไปหรือวัยกลางคน ส่วนคำว่าเซ่ หมายถึงเซ่ห่าน ซึ่งหมายถึงวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดถึงยี่สิบเก้าปีอันเป็นวัยศึกษา โล้ห่านหมายถึงวัยชรา เริ่มตั้งแต่หกสิบปีเป็นต้นไป และอิ้วห่านหมายถึงเด็กหรือเยาวชน นับตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงหกขวบ

วลีดังกล่าวจึงสะท้อนการแบ่งวัยตามขนบจีนออกเป็นสี่ช่วงวัยที่พึงอยู่ในเรือนเดียวกัน เป็นภาพของ “ครอบครัว” ที่คนจีนอยากเห็น

นอกจากนี้ ท่อนแรกยังสะท้อนความคิดเรื่อง “ธาตุ” ตามระบบความคิดเต๋า ว่าที่จริงแล้วการเผากระดาษเงินทองนั้น คือการที่ธาตุโลหะไปแปรเปลี่ยนด้วยธาตุไฟจากทิศใต้ และทั้งหมดนี้เกิดจาก ฟ้าดิน จึงมีมูลค่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้

เมื่อถวายกระดาษเงินกระดาษทองแล้ว ครั้นนำไปเผาจะต้องเทเหล้าหรือชาจากจอกที่ได้เซ่นไหว้แล้วไปรอบๆ ที่พื้นบริเวณที่เผากระดาษนั้น บางคนอาจเคยเห็นผู้ใหญ่ในบ้านทำมาก่อน ผมเองก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่ทราบความหมายและไม่เคยถาม อาจารย์นนท์ท่านก็ว่า นี่เป็นขนบแบบหยูหรือขงจื่อ เป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดพิธีบวงสรวง

 

ผมอยากย้อนไปเรื่องจำนวนการเผาอีกนิดเพราะเพิ่งนึกออกครับ คือนอกจากจำนวนที่ผมได้เล่าไว้ในคราวที่แล้ว หากเป็นการเผากระดาษซึ่งทำเป็นประจำเช่นไหว้เจ้าในทุกวันหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำหรือวันพระจีน หรือบ้านไหนไหว้เจ้าที่ “เหง๋” ทุกสองค่ำและสิบหกค่ำจีน แบบนี้ท่านไม่ได้กำหนดจำนวนกระดาษไว้แน่นอนครับ ก็มักเผาพอเป็นพิธี เช่น แค่หนึ่งหรือสองจี๋ บางครั้งไปไหว้ศาลเจ้าเขาก็มัดกระดาษรวมมากับธูปเทียนแค่สามใบหรือห้าใบเท่านั้น

ส่วนการไหว้บรรพชนก็ไม่ได้กำหนดจำนวนไว้แน่นอน เว้นแต่ในงานพิธีทางการอย่างกงเต๊ก จึงมักนิยมเผากระดาษตามที่ชอบหรือตามที่ครอบครัวปฏิบัติสืบกันมา บางบ้านเลยไหว้เครื่องกระดาษกันเยอะมากๆ นั่งพับกันเป็นอาทิตย์ก่อนจะถึงวันจริง

บางพิธีก็กำหนดจำนวนกระดาษไว้เยอะมาก เช่น การไหว้ในวันฟ้าอภัย ท่านให้ไหว้กระดาษทองอย่างน้อยยี่สิบสี่จี๋ การแก้บนหรือพิธีพิเศษบางอย่างก็ให้เผาเป็นหน่วยตำลึงหรือชั่งเลยทีเดียว ถ้าผมจำไม่ผิด ร้อยจี๋เท่ากับหนึ่งตำลึง สิบตำลึงเท่ากับหนึ่งชั่ง

ดังนั้น หนึ่งชั่งจึงเท่ากับพันจี๋นั่นเอง

 

มาถึงประเด็นที่สำคัญมากๆ แล้วครับ สรุปว่า กระดาษเงินกระดาษทองที่เราเผาไปนี้ เหล่าผีเทพในปรโลกได้ใช้กันจริงๆ ไหม

หากกล่าวตามระบบความเชื่อจีนเอง คนจีนถือว่าในโลกมนุษย์เป็นอย่างไรในปรโลกก็เป็นอย่างเดียวกัน ดังนั้น หากโลกมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย มีการใช้เงินทอง ในปรโลกก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นด้วย (แต่ตอนนี้ในปรโลกจีนยังเป็นระบอบฮ่องเต้อยู่เลยนะครับ ผมดูจากแบงก์กงเต๊ก ทั้งที่ในโลกมนุษย์ จีนยกเลิกระบอบไปนานแล้ว ฮา)

เมื่อกล่าวตามความเชื่อข้างต้น อนุชนที่ยังศรัทธาก็ต้องตอบว่า เทพ – ผีย่อมสามารถใช้เงินทองเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน ผีอาจใช้มากหน่อย ส่วนเทพเจ้าท่านก็เอาไปแจกจ่ายผู้ทุกข์ยากอีกที

ผมเห็นว่ามีอีกแนวคำตอบหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งชาวพุทธหรือผู้ไม่ได้อยู่ในระบบความเชื่อจีนในข้างต้นก็อาจพอรับได้ พระอาจารย์เซิงเอี๋ยน (Master Sheng Yen) แห่งพุทธศาสนานิกายเซนในไต้หวัน ผู้ก่อตั้งองค์กรธรรมเภรีบรรพต (Dharma Drum Mountain) ได้ตอบคำถามที่ว่า กระดาษเงินกระดาษทองที่เราเผาไป จะมีประโยชน์หรือคนในปรโลกจะได้ใช้หรือไม่

ผมขอสรุปความมาโดยสังเขป

 

พระอาจารย์เซิงเอี๋ยนเห็นว่า ชาวจีนพัฒนากระดาษขึ้นมาใช้ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น และใช้กระดาษแทนเงินทองมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้การเผากระดาษหรืออุทิศเงินทองจึงสามารถกระทำได้ อีกทั้งคนจีนยังเชื่อว่า โลกนี้และโลกหน้ามีความคล้ายคลึงกัน คนที่ตายไปเป็นผีแล้วจึงยังต้องการเงินทองเหมือนสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่นี่คือวัฒนธรรมจีน ไม่ใช่ความเชื่อทางพุทธศาสนา

ดังนั้น ผีจึงอาจมาเข้าฝันบอกคนในครอบครัวให้เผาเงินทองไปให้ เพราะนี่เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรม (ซึ่งทั้งคนเป็นและคนตายมีร่วมกัน และเป็นความเคยชินตั้งแต่มีชีวิตอยู่) แต่ท่านก็ถามต่อไปว่า ผีจะใช้เงินทองเหล่านี้ได้จริงหรือ คำตอบคือไม่! โลกของวิญญาณจะใช้เงินทองไปเพื่ออะไร เพราะในโลกวิญญาณไม่มีการเพาะปลูก ไม่มีการซื้อขาย ไม่มีผลผลิต

กระนั้น การเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้คนตายก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะช่วยให้ดวงวิญญาณที่ยังคงปรารถนาเงินทองอยู่รู้สึกสบายใจและสงบเนื่องจากได้รับสิ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าเงินทองเหล่านี้อาจไม่มีค่าจริงๆ เลยก็ตาม และนี่เป็นวิธีการที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความเคารพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผีให้ความสำคัญมาก

ท่านสรุปว่า จะดีกว่าหากได้อุทิศกุศลหรือได้แสดงธรรมแก่ดวงวิญญาณเหล่านั้นให้เกิดความสงบ ยิ่งในสมัยที่เราเผชิญปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การเผากระดาษไม่น่าจะเป็นธรรมเนียมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมนัก และแนะนำว่าจะเราควรสวดพุทธนามให้กับดวงวิญญาณและลดการเผากระดาษลง

ผมคิดว่าสิ่งที่พระอาจารย์ท่านกล่าวไว้น่าใคร่ครวญ ถ้าถามผมว่าจะเลิกไหว้เจ้าเผากระดาษหรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่

แต่โจทย์สำคัญสำหรับคนไหว้เจ้าเผากระดาษด้วยกัน คือจะทำอย่างไรให้เรายังคงสามารถรักษาขนบธรรมเนียมที่บรรพชนให้ไว้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วย

ขอฝากทุกท่านช่วยกันคิดด้วยนะครับ

ขอตัวไปพับกระดาษก่อน •

 

ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (1)

ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (2)