ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
แด่วัยวันอันสิ้นสลาย | ยศวุฒิ เอียดสังข์
ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024
เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ศีรษะและแขนสองข้างวางราบบนพื้นโต๊ะ ร่างแข็งเกร็ง เนื้อตัวบวมอืดจนเสื้อเชิ้ตสีมอซอคับแน่น ใต้ท่อนแขนเริ่มมีรอยคล้ำกระจายเป็นหย่อม น้ำเหลืองสีช้ำๆ ไหลจากปากและจมูก จับเกรอะกรังบนโต๊ะ บนเก้าอี้ ไม่เว้นกระทั่งบนพื้นซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยเศษขยะ กลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้ง ทั้งห้องมืดสลัว มีเพียงความสว่างเดียวจากแสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา สาดกระทบใบหน้า ดวงตา และริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึ่งผมพอมองเห็นได้ว่ากำลังยกยิ้มน้อยๆ
ผมปิดคลิปหลังจากดูไปเพียงสองนาที ภาพบนจอค่อนข้างมืด แต่ใบหน้าของเขาปรากฏชัด ชายวัยห้าสิบกลางเสียชีวิตในห้องพัก ไม่มีใครรู้เห็น โชคดีรายนี้มีคนมาพบหลังผ่านไปสองวัน เรื่องประเภทนี้เริ่มมีให้เห็นถี่ขึ้น คลิปหาดูไม่ยาก พวกมือบอนชอบโพสต์ขึ้นทวิตเตอร์ ผมไม่ได้กลิ่นจากหน้าจอหรอก แต่เดาได้ว่ามันน่าจะเหม็นเน่าประมาณไหน
ไม่มีใครสนว่าเขาเป็นใคร แต่แวบหนึ่ง ผมกลับนึกอยากรู้ว่าเรื่องราวของเขาเริ่มต้นและจบลงอย่างไร
เกือบปีที่ผมมีเวลาว่างเหลือเฟือ ว่างพอจะนั่งดูคลิปไร้สาระ อัดควันเข้าปอดจนก้นบุหรี่กองพูนเต็มที่เขี่ย บ้านทั้งหลังว่างเปล่า เงียบเหงา ตึกทรงชิโน-โปรตุกีสสองชั้นปลายถนนย่านเมืองเก่า ตัวอาคารผุโทรม กำแพงปูนลอกล่อนจนตะไคร่น้ำจับเป็นคราบเขียว แม้จะมีนักท่องเที่ยวเตร็ดเตร่ไปมา แต่บางวันก็แทบไร้เสียงรถรา สัมผัสอันน้อยนิดที่ผมพอจะรับรู้ได้ในบ้านหลังนี้ มีเพียงกลิ่นของพ่อ และเงาของป้าที่กระจัดกระจายอยู่ทุกซอกมุม
สองเดือนหลังงานแต่งของผม พ่อหน้ามืดหกล้ม เคราะห์ดีแค่เพียงเคล็ดขัดยอก แต่ก็เป็นสัญญาณบอกให้ผมเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านภรรยาซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารในย่านแหล่งท่องเที่ยวกับบ้านพ่อในเมืองเก่า ช่วงนั้นผมลังเลอยู่นาน คิดว่าอาจต้องย้ายมาอยู่กับผู้สูงวัยสักระยะ ในขณะที่อีกด้านก็ห่วงร้านซึ่งเพิ่งตกแต่งเสร็จสิ้น
แต่การตัดสินใจไม่ใช่เรื่องยาก ครึ่งปีต่อมาป้าล้มไปอีกคน อดีตข้าราชการวัยเกษียณ พี่สาวแท้ๆ ของพ่อ อาการของป้ารุนแรงถึงขั้นสะโพกร้าว แม้ไม่ติดเตียงแต่ก็ต้องพึ่งรถเข็นหลังออกจากโรงพยาบาล แกไม่มีสามีและลูก โดดเดี่ยวคนเดียวในบ้านกลางสวน ผมจึงหอบป้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านพ่อ พร้อมแมวสีขาวปลอดตัวเดียวที่แกเลี้ยงไว้
นับแต่นั้น ผมกลายเป็นผู้ดูแลคนสูงวัยเต็มเวลา แทบปลีกตัวไปไหนไม่ได้ แถมต้องอยู่แบบกระเหม็ดกระแหม่ในบ้านเก่าโทรม เงินบำนาญของป้าถือว่ามาก แต่ไม่มากพอสำหรับสามชีวิต ยังดีที่ภรรยาเจียดกำไรจากร้านอาหารมาช่วยบ้าง แม้ผมไม่เคยโผล่หน้าไปให้เธอเห็นเลยก็ตาม นึกแล้วก็แปลกดี เราร่วมชีวิตผ่านวิดีโอคอลกันเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเธอบอกว่าพอเข้าใจได้ แต่ไอ้คนที่ไม่เข้าใจคือครอบครัวเธอนี่แหละ ที่หล่นคำพูดผ่านชาวบ้านร้านตลาดมาว่า ผมเกาะเมียกิน
แล้วจะให้ทำอย่างไร พ่ออายุแปดสิบแล้ว ป้าบวกไปอีกห้า นี่ถ้าแม่ยังอยู่ผมว่าจะเปิดบ้านเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมันเสียเลย
เกือบเก้าปีที่ชีวิตผมหมุนไปในวังวนซ้ำเดิม เหมือนหนังประเภทไทม์ลูป เคยเห็นใช่ไหม เนื้อเรื่องที่ตัวเอกตื่นมาในวันเดิม เวลาเดิม เจอเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ ไม่ว่าจะหลับไปกี่ตื่น หรือตายไปกี่หน สุดท้ายจะฟื้นขึ้นที่จุดเดิมอีกครั้ง นั่นละ ชีวิตผมก็คล้ายๆ กัน
เริ่มจากตื่นตั้งแต่ตีห้า เข้าครัวเตรียมมื้อเช้า ทันทีที่เสียงมอเตอร์ไซค์ส่งผักในตลาดวิ่งผ่านหน้าบ้าน พ่อกับป้าจะตื่นตอนนั้น ผมต้องผละจากครัว ประคองป้าเข้าห้องน้ำ ถังน้ำใบใหญ่และกล่องสบู่เตรียมไว้พร้อมหน้าโถชักโครกซึ่งขนาบด้วยราวเหล็กช่วยพยุง จากนั้นผมจะยืนรอหน้าประตู คอยเงี่ยหูฟังเสียงจ้วงขันและราดน้ำซู่ๆ ด้านใน กระทั่งได้ยินเสียงเรียก จึงค่อยประคองป้าออกจากห้องน้ำไปแต่งตัวบนรถเข็น แล้วเข็นมาประจำโต๊ะครัว โดยไม่ลืมเทอาหารเม็ดใส่ชามใบเล็กให้แมว ส่วนพ่อก็เข้าสู่กระบวนการทั้งหมดอีกครั้ง เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็น และทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
ตกสาย พ่อจะสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว นอนเอกเขนกบนแคร่หน้าบ้าน โดยมีป้าสวมผ้าถุง เสื้อคอกระเช้าและแว่นกันแดด นั่งบนรถเข็น มองดูรถราแล่นผ่านไปมาเงียบๆ ถ้าใครขับรถผ่านหน้าบ้านตอนนั้น จะเห็นพ่อฉีกยิ้มหน้าแดงก่ำ และป้านั่งจิบน้ำชาข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
วันทั้งวันผ่านไปแบบนั้น คั่นด้วยมื้อเที่ยง และพักช่วงนอนกลางวันของคนสูงวัย ซึ่งเป็นเวลาที่ผมต้องรีบออกไปซื้อของใช้จำเป็นตระเตรียมไว้ แล้วกลับมาช่วยป้าเหวี่ยงแขนยกขา ออกกำลังกระตุ้นกล้ามเนื้อ จากนั้นค่อยเก็บกวาดบ้าน จัดการเสื้อผ้าซักตากไว้ กระทั่งไปจบที่มื้อเย็น ก่อนพ่อและป้าจะเข้านอนตอนสามทุ่ม เวลาที่ผมต้องเก็บอึแมวในกระบะทราย โดยมีเจ้าก้อนขนสีขาวนั่งอ้าปากหาวหวอดๆ อยู่ไม่ไกล
ผมใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงโทร.หาภรรยา ไถเลื่อนเฟซบุ๊ก อัพเดตชีวิตของเพื่อนๆ ที่ผมไม่ได้คุยกับพวกเขานานแล้ว จนถึงสี่ทุ่มจึงล้มตัวนอนบนฟูก และพร้อมตื่นทันทีหากได้ยินเสียงเรียกของป้า กลางคืนเคลื่อนคืบเชื่องช้า กระทั่งเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นอีกครั้งในตอนใกล้รุ่ง
“ทำไมไม่ส่งพวกเขาไปอยู่บ้านพักคนชรา จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ภรรยาถามผมในวันหนึ่ง
ผมได้แต่ให้เหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย ในขณะที่ภรรยาเงียบไปโดยไม่ถามอะไรต่อ แต่นั่นแค่ความจริงครึ่งเดียว ยังมีบางสิ่งมากกว่านั้น พูดไปเธอคงไม่เข้าใจ ภาพพ่อยืนอุ้มผมตอนเด็กๆ ชี้ชวนดูรถราวิ่งผ่านหน้าบ้าน ซ้อนทับกับภาพคนสูงวัยบนแคร่และรถเข็นที่ผมมองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภาพเหล่านั้นต่างหากทำให้ผมไม่กล้าผลักไสใครออกไปจากบ้านหลังนี้
และที่สำคัญ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมไม่ได้บอกภรรยา ปัญหาที่ไม่อยากพูดถึง
ใช่…ชีวิตผมคงง่ายกว่านี้ ถ้าพ่อจะเลิกเหล้าได้เสียที
ผมลืมบอกใช่ไหม ว่าพ่อหน้ามืดเพราะอะไร ก็ไอ้เหล้าพวกนี้นี่แหละ ตั้งแต่หนุ่มๆ พ่อแทบไม่ห่างจากมันเลย เพื่อนฝูงแห่มาดื่มกินที่บ้านไม่เคยขาด พอแก่ตัวก็หายไปทีละคนสองคน จนเหลือพ่อนั่งเมาแอ๋ลำพังหน้าบ้านแทบทุกเย็น หลังหกล้มผมสั่งให้พ่อเลิกเหล้า พ่อก็เลิกจริงๆ แต่เลิกดื่มต่อหน้าผม แล้วแอบไปงุบงิบกระดกคนเดียวลับหลัง พ่อนะพ่อ เงินก็ไม่พอใช้ยังขยันหาเหล้ามาเหน็บไว้ตามซอกตามหลืบ แถมซ่อนเก่งเสียด้วย ขวดเหล้าของพ่อซุกตรงมุมไหนไม่มีใครรู้ แกซ่อนมิดอย่างกับแมวกลบอึในกระบะทราย ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม ทำไมพ่อถึงได้หน้าแดงก่ำแทบทุกวัน ไอ้ผมก็คร้านจะพูด เพราะต้องเก็บแรงไว้สู้รบตบมือกับใครอีกคน
“กูจะเดิน ทำไมไม่ให้กูเดิน” เสียงป้าโวยวายจากห้องนอนตอนผมกำลังด้อมๆ มองๆ หาขวดเหล้าของพ่อ ผมวิ่งพรวดเข้าห้อง ปลอบแกอยู่นานจนกระทั่งสงบลง นี่ก็อีกเรื่องทำให้งานผมยากเป็นสองเท่า ป้าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางวันนิ่งเงียบ บางวันอาละวาดราวกับเด็กๆ ยิ่งรู้ว่าตัวเองเดินไม่ได้ก็ยิ่งหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย และเริ่มอารมณ์ร้ายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ผมมักตกเป็นจำเลยของป้าเสมอ เริ่มจากหาข้าวของไม่เจอ ป้าจะชี้นิ้วใส่หน้า ตะโกนด่าหาว่าผมเอาไปทิ้ง นานวันมื้ออาหารไม่ถูกปาก ก็ไอ้ผมนี่แหละเอาของเสียมาให้กิน จนถึงวันที่หูของป้าไม่ค่อยได้ยิน ผมถูกติดป้ายหลานชายใจหินที่ชอบขึ้นเสียงใส่คนแก่ทันที นานๆ ครั้งญาติพี่น้องมาเยี่ยม ผมต้องวานหลานสาวตัวเล็กช่วยบอกให้ป้ากินยาที่จัดเตรียมไว้
ป้ายิ้มร่าทันที ไม่มีอิดออดเมื่อคนอื่นๆ อยู่ใกล้
ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผม
วันคืนของเราหมุนไปในลักษณะนั้น จนบางครั้งผมนึกสงสัย ป้าใจดีที่ชอบอุ้มผมเดินเล่นในบ้านสวนเมื่อหลายสิบปีก่อนหายไปไหนกันนะ
ความเหน็ดเหนื่อยประดังเข้ามาเหมือนห่าฝน เมื่อภรรยาผมเริ่มเปลี่ยนไปอีกคน เธอชักพูดไม่เข้าหู แถมชวนทะเลาะได้ตลอดเวลา วิดีโอคอลเริ่มไม่น่าอภิรมย์ เย็นวันหนึ่งเธอโทร.มา ตัดพ้อว่าถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะแต่งงานกันไปทำไม ผมได้แต่น้ำท่วมปาก เดินวนเหมือนหนูติดจั่น ขณะที่ป้าก็เอาแต่ตะโกนเรียกไม่หยุด พร้อมเสียงพ่อทำขวดตกแตกดังจากมุมหนึ่งของบ้าน อากาศก็ร้อนนรกสาป ผมยกมือขยี้หัวตัวเอง
ทำไมใครต่อใครต้องโยนทุกอย่างมาลงที่ผมวะ
คืนหนึ่งหลังพ่อกับป้าเข้านอน ผมขนลังกระดาษใบใหญ่ออกจากห้องเก็บของ อัลบั้มรูปมากมายอัดแน่นในนั้น หลายเล่มเป็นภาพถ่ายครอบครัวของเรา ผมรื้อค้นอัลบั้มเก่าๆ เปิดดู ฝุ่นก้นลังปลิวฟุ้งหอบกลิ่นอับลอยเข้าจมูก ในภาพถ่ายสีซีดจาง ปู่กับย่ายืนยิ้มพร้อมลูกๆ ห้อมล้อมมากมาย แกมีลูกถึงเจ็ดคน ในขณะที่พ่อมีผมแค่คนเดียว เหมือนพี่น้องของพ่อคนอื่นๆ ซึ่งมีลูกบ้านละคนหรือสองคน บ้างก็ครองโสดจนตาย กระทั่งมาถึงรุ่นผมที่แทบไม่มีใครผลิตทายาทออกมาเลย ไม่ต่างจากข้างนอกนั่น คล้ายเป็นข้อตกลงหรือแม้กระทั่งข้อจำกัดของยุคสมัยไปแล้ว ใครต่อใครต่างปฏิเสธการมีลูก เหตุผลร้อยแปดว่ากันไป ขนาดของครอบครัวรุ่นใหม่ๆ เริ่มหดเรียว ขมวดเกลียวเล็กลง เล็กลง จนเหลือเพียงปลายแหลมให้เรายืนเขย่งมองกันจากที่ไกลๆ
กว่าจะรู้ตัว เราต่างกลายเป็นชิ้นส่วนบนปลายยอด โดดเดี่ยว เป็นเอกเทศ ชิ้นส่วนที่ไม่มีวันเคลื่อนตัวมาบรรจบกัน
ผมเปิดดูรูปปู่กับย่าอีกครั้ง พลางคิดไปว่าพ่อน่าจะมีลูกสักโหล จะได้ช่วยกันดูแล คอยเป็นหูเป็นตา เป็นปากเป็นเสียง เป็นมือเป็นตีนให้พ่อมากกว่านี้
เพราะผมคนเดียวชักจะเอาพ่อไม่อยู่แล้ว
พ่อหายไปในคืนวันศุกร์ ผมออกตามหาจนพบตัวที่บาร์เบียร์หัวถนน สภาพดูไม่ได้ เมาแทบไร้สติ ร่างผอมแห้งนอนแอ้งแม้งบนทางเท้า โหวกเหวกโวยวาย เหวี่ยงมือไม้พยายามลุกขึ้น มองดูเหมือนตะพาบน้ำตัวเล็กๆ ที่ถูกชาวประมงจับพลิกหงาย ฝรั่งสามสี่คนนั่งหัวเราะอยู่หน้าบาร์ ขณะที่ผมดึงร่างผอมบางลุกนั่ง กลิ่นเหล้าโชยหึ่งตอนพ่อพ่นคำถามกลับมาด้วยเสียงอ้อแอ้ว่า “เอ็งเป็นใครวะ”
ผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตัดสินใจแบกพ่อขึ้นรถ ขับกลับบ้านพร้อมหิ้วเหล้าติดมือมาอีกสองกลม ลากพ่อถูลู่ถูกังไปล้างหน้าจนเริ่มมีสติ ตอนนั้นแหละ ผมปักหลักที่โต๊ะครัว เปิดเหล้ากระดกอั้กๆ ต่อหน้าพ่อ
“อยากกินนักใช่ไหม เหล้าน่ะ” ผมคำราม พลางยกขวดเทพรวดๆ ราวกับน้ำเปล่า รู้สึกแสบร้อนไปทั้งอก
พ่อตกใจแทบสร่าง หมดกลมแรกผมเมาเหมือนหมา คลานไปอ้วกหน้าบ้านขณะที่พ่อเก้ๆ กังๆ ลูบหลังผม ปากพร่ำแต่คำขอโทษ ผมเมาจนจำอะไรไม่ได้ รู้เพียงรางๆ ว่าเอาแต่ตะคอกใส่พ่อ แถมภรรยายังโทร.มาตอนนั้นพอดี เฮอะ…จังหวะช่างเหมาะเหม็ง ผมพ่นคำหยาบๆ คายๆ ใส่โทรศัพท์ แล้วไล่เธอไปให้พ้นๆ จากชีวิต ไปให้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ไปเลย ไป! – ให้ห่ากิน นี่ผมพูดกับเธอแบบนั้นจริงๆ หรือ
เธอโทร.มาอีกสองสามครั้ง จนกระทั่งไม่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกเลย
ผมลืมตาบนเตียงตอนเที่ยงอีกวัน พร้อมอาการปวดหัวแทบระเบิด เห็นพ่อนั่งทำหน้าสลดอยู่ข้างๆ ขณะเสียงตะโกนโหวกเหวกดังจากอีกห้อง ผมถีบตัว วิ่งพรวดพราดไปดูป้า แกนั่งโวยวายอยู่บนเตียง สองมือคว้าอะไรได้ก็เหวี่ยงไปรอบๆ ราวกับคนบ้า
“มึงไปไหนมา กูจะเดิน ทำไมไม่ยอมให้กูเดิน” ป้าแผดเสียงแหลมตอนที่แจกันใบหนึ่งลอยมากระแทกปากผม ไม่รู้แกเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน รู้แต่ความเจ็บแล่นปราดทั่วใบหน้า เหมือนดวงอาทิตย์สว่างจ้า ผมรับรู้ถึงรสเค็มปร่าบนลิ้น ขณะที่เลือดไหลเต็มฝ่ามือพร้อมฟันหนึ่งซี่หล่นลงบนพื้น
แม่ง…พอกันที
ผมสั่งพ่อให้อยู่กับป้า พร้อมไหว้วานเพื่อนบ้านมาช่วยดูอีกแรง ก่อนขับรถไปโรงพยาบาลทั้งที่น้ำตาไหลพรากๆ ไม่รู้เพราะเจ็บ เพราะเสียใจ หรือเพราะเคียดแค้นต่ออะไรสักอย่าง หรือไม่แน่ บางทีอาจเป็นเพราะทั้งหมดนั่น
ตกเย็น ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ผมนั่งซึมกะทือหน้าบ้านมองดูรถราวิ่งผ่านไปมา ปากระบมกัดก้อนสำลีไว้แน่น หมดเงินค่าเย็บแผลไปอีกสองพัน เงินของป้าทั้งนั้นแหละ และเดือนนี้ก็แทบไม่เหลือติดบัญชีแล้ว ป้าหลับไปตั้งแต่บ่าย ผมเลิกสนใจ ปล่อยให้แกอาละวาดอยู่คนเดียวในห้องจนเหนื่อยไปเอง แดดยามเย็นสาดบนทางเท้า ผมเอนหลังพิงกำแพงบ้าน ยกมือดึงทึ้งเส้นผมโดยไม่รู้ตัว ขณะที่พ่อเดินกระย่องกระแย่งมานั่งข้างๆ ปั้นสีหน้าลำบากใจ คล้ายกับเด็กอมข้าวร้อนๆ อยู่ในปาก ดูเหมือนแกอยากบอกอะไรผมสักอย่าง
“อะไรอีกล่ะพ่อ” ผมกัดสำลีส่งเสียงอู้อี้
แกย่นคิ้ว ก่อนพูดอึกอักในลำคอ “วันเสาร์หน้าพาพ่อไปเที่ยวหน่อยได้ไหม”
ผมเบิกตาโพลง เหลือเชื่อจริงๆ นี่พ่อคิดอะไรอยู่นะ มาขอให้พาเที่ยวตอนนี้ ตอนที่ป้ายังนอนแซ่วอยู่บนเตียง แถมทั้งบ้านแทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว ผมฉุนขาด บ้วนสำลีชุ่มเลือดลงพื้น ก่อนหันไปตะเบ็งใส่พ่อ “พ่ออยากไปไหนล่ะ เรามีเงินอยู่ในบัญชีตั้งสี่พัน ไปไหนกันดี ไปกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ไปเกาหลี ไปญี่ปุ่น หรือจะไปอิสราเอลมั้ย เขารบกันอยู่โครมๆ พ่ออยากไปมั้ยล่ะ”
พ่อก้มหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนอ้อมแอ้มออกมาเบาๆ คำตอบที่ทำเอาผมอึ้ง และไม่อยากหล่นคำพูดอะไรออกมาอีก
สถานที่ซึ่งพ่อให้ผมพาไปอยู่ห่างจากบ้านเราไม่ถึงสามสิบกิโลเมตร ร้านอาหารพร้อมห้องจัดเลี้ยงริมหาดข้างอุทยาน งานพบปะรวมรุ่นของผู้สูงอายุ จัดกันทุกสองหรือสามปี แขกส่วนใหญ่เป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อ พื้นที่จัดงานเปิดโล่ง มองเห็นผืนน้ำมืดมิด ดาวพราวฟ้า ยินเพียงเสียงคลื่นลอยมาพร้อมกลิ่นอายทะเล
ผมนั่งตรงมุมสลัว มองดูพ่อและเพื่อนๆ เต้นรำตามจังหวะเพลงรำวง ขณะที่ป้านั่งบนรถเข็น แว่นกันแดดคาดหัว ยกจิบม็อกเทลเหมือนทองไม่รู้ร้อน แขกบางคนนั่งสัปหงกตั้งแต่หัวค่ำ บางครอบครัวลูกหลานยืนรอที่ลานจอดรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่พ่อกับเพื่อนก็ดูมีความสุขดี เหมือนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตกดึกเมื่อเพลงดิสโก้ดังกระหึ่ม เหล่าคนสูงวัยเฮโลเข็นรถเข็นของป้าไปที่กลางฟลอร์ ขยับแข้งขาหมุนโยก ราวกับโลกมีแต่พวกเขา
ตอนนั้นแหละ ที่ผมเห็นรอยยิ้มแต้มประดับใบหน้าของป้า
ยังไม่ทันจบเพลง พ่อเดินมาหย่อนตัวข้างผม แก้วเบียร์ในมือ หลับตาพริ้มพิงพนักเก้าอี้พร้อมผ่อนลมหายใจยาวเหยียด พ่อนั่งอยู่อย่างนั้นราวสามนาที ก่อนหันมาถามผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ปีนี้เอ็งอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ห้าสิบสี่” ผมตอบแบบลังเล อย่าว่าแต่พ่อ แม้แต่ผมยังไม่แน่ใจอายุตัวเองด้วยซ้ำ
พ่อถอนใจยาวอีกครั้ง ก่อนแหงนหงายหลับตา เอื้อมมือตบไหล่ผม แล้วพึมพำเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข – ขอบใจ ขอบใจ
ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่เหม่อมองกลางฟลอร์ ผลาญทุกวินาทีไปกับภาพเหล่านั้น
ป้าตายในอีกสามวันถัดมา นอนหลับไปเฉยๆ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า
จากนั้นมาพ่อก็แทบไม่พูดอีกเลย ไม่ทำอะไร ไม่ไปไหน ไม่แตะเหล้าแม้สักหยด และแก่เฒ่าถดถอยลงทุกวินาที
ผมบนศีรษะของพ่อขาวโพลน ใบหน้ายับย่น หลังคู้งอราวกับรวงข้าวในฤดูเก็บเกี่ยว ทุกอย่างช่างรวดเร็ว เหมือนลมพัดมาวูบเดียวแล้วพ่อก็แก่หง่อมเลย เราใช้เวลาที่เหลือด้วยกันในบ้านหลังนี้
จากนั้นไม่ถึงปี พ่อก็หนีตามป้าไปอีกคน
นานเท่าไหร่แล้วที่ผมมีเวลาว่างเหลือเฟือ ว่างพอจะนั่งดูคลิปไร้สาระและหายใจทิ้งเรี่ยราดไปวันๆ ผมกลับมาสูบบุหรี่หลังจากเลิกไปกว่าสิบปี ห้องนอนเหม็นอับ เศษเถ้าสีเทาเกาะจับบนพื้นโต๊ะหม่นมอม บ้านยังคงเงียบเหงา แล้วทำไมผมต้องมานั่งจับเจ่าอยู่อย่างนี้ ผมควรโล่งใจสิ ไม่มีภาระอะไรแล้ว เหลือก็แต่เจ้าแมวขาวนั่งแลบลิ้นเลียเท้าอยู่เบื้องหน้า
แต่ทำไมผมกลับอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรงเผชิญกับโลกโดยสิ้นเชิง
“ใจเย็นๆ ขายบ้านหลังนี้สิ น่าจะได้เงินมากโขอยู่ แล้วไปไหนก็ได้ที่อยากไป” เจ้าแมวพูดกับผมด้วยเสียงแหลมเล็ก มันนั่งไกวหางบนโต๊ะ วางเท้าแนบชิดกัน
เยี่ยมไปเลย บ้านโบราณย่านเมืองเก่า ราคาพุ่งไปถึงดวงจันทร์ ขายให้นักลงทุนจีนผมคงมีกินมีใช้ไปจนตาย ดีละ…ขายมันให้หมด ทั้งรถ ทั้งบ้าน ทั้งข้าวของกองพะเนิน ทั้งกลิ่นของพ่อ หรือแม้แต่เงาของป้า ทั้งหมดนั่นเลย – แม่งเอ๊ย ที่ไหนๆ ก็มีแต่พวกเขา ผมขายไม่ลงว่ะ
“งั้นย้ายไปอยู่กับภรรยา คืนเวลาให้ครอบครัว สร้างอนาคตให้ตัวเอง” แมวขาวว่า พลางก้มเลียนิ้วเท้าแล้วยกขึ้นเช็ดใบหน้า
อยู่กับภรรยา เฮอะ…มันไม่รู้หรือว่าเธอทิ้งผมไปตั้งแต่วันที่พ่อนอนกลิ้งอยู่หน้าบาร์เบียร์ สมควรแล้ว ผมไม่โทษใครหรอก เธอกำลังก้าวหน้า อายุอานามก็มากแล้ว จะมาทนลำบากลำบนกับคนอย่างผมทำไม
“ตามใจ” เจ้าแมวกระแทกเสียง แล้วลุกเดินหนีไป
ลมพัดม่านหน้าต่างพลิ้วไหว หอบเม็ดฝุ่นฟุ้งกระจายในลำแสงอ่อน ที่สุดแล้วก็เหลือแค่ผมในห้องนอน ผมเพียงคนเดียว โดดเดี่ยวบริบูรณ์ ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีเพื่อน ไม่มีเงิน ไม่มีใครสนใจ แก่เฒ่าไปตามวันเวลา รู้ตัวอีกที ชีวิตแม่งไม่มีห่าอะไรเหลือเลย
จู่ๆ ผมนึกถึงคลิปที่เปิดดูเมื่อครู่ สันหลังเย็นวาบจนสั่นสะท้าน
คีบบุหรี่จุดอีกมวน ผมจะมานั่งกังวลอยู่ทำไม ก็แค่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ใจเย็นไว้ก่อนดีกว่า ว่าแต่ทำไมควันหนาทึบอย่างนี้ แล้วนี่ผมไม่ได้อยู่ในห้องนอนหรือ ผมอยู่ที่ไหน ทำไมหิวจนแสบท้องไปหมด ร่างกายแทบไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย หันมองรอบตัว ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างครัวกับประตู เสียงโทรศัพท์ดังจากที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นภรรยาโทรมา…อดีตภรรยา ผมแสบตา สำลักควันจนตัวงอ ทั้งหมดคงเป็นความฝัน ไม่ผิดแน่ ผมอยู่ในฝัน พร้อมเสียงเรียกของพ่อและป้าลอยมาจากบางมุมของบ้าน รอบตัวสว่างไสว รูปรอยต่างๆ เริ่มปรากฏให้เห็น รถเข็น บ้านสวน งานรวมรุ่น ใบหน้าของพ่อ รอยยิ้มของป้า ทุกสิ่งทุกอย่างทยอยผุดขึ้นช้าๆ ทว่ากลับเป็นเพียงรายละเอียดแข็งๆ ซึ่งพร้อมจะแตกร้าว ร่วงหล่น และกร่อนสลายราวกับเศษภาพที่ไม่มีใครใส่ใจจำ
เอาละ…ผมควรตื่นได้แล้ว แค่เปิดประตู มองเห็นตัวเองนอนอยู่ในห้อง จากนั้นสะดุ้งตื่น ผมเคยฝันแบบนี้ออกบ่อย คราวนี้คงต้องรีบแล้ว เสียงภรรยาและใครต่อใครดังแทรกเข้ามา เสียงสับสนอลหม่าน คล้ายว่าพวกเขากำลังตื่นตระหนก ในความฝัน ผมซวนเซถึงหน้าประตู เท้าเบาหวิว เอื้อมหมุนลูกบิดด้วยมือสั่นเทา ที่ไหนสักแห่ง ความโกลาหลคืบใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา…
ในความฝัน ผมหลับตา กระชากประตูด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022