เปิดใจ ‘สมณะเดินดิน ติกขวีโร’ สืบทอดเจตนารมณ์ ‘สมณะโพธิรักษ์’ เดินหน้าปั้นพรรคสัมมาธิปไตย

เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวอโศกว่าหลังจากสมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก มรณภาพเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ในวัย 89 ปี

ผู้ที่ขึ้นมาสานต่องานแทนคือ “สมณะเดินดิน ติกขวีโร” วัย 70 ปี

ถือเป็นผู้มีอาวุโสพรรษาสูง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทำหน้าที่แทนสมณะโพธิรักษ์มาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากพ่อครูหรือหลวงปู่ของชาวอโศกมีปัญหาสุขภาพมานานและอาพาธรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

สมณะเดินดินเล่าว่าก่อนพ่อครูจะจากไปนั้น ไม่ได้สั่งเสียหรือมีความกังวลในเรื่องใดๆ

“ท่านสอนเรามา 53 ปี บอกย้ำอธิบายเส้นทางเดินไว้หมดแล้ว อยู่ที่เราจะเดินไปถึงเป้าหมายนั้นมากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมามีคนไปถามความต้องการของพ่อครู ท่านบอกต้องการให้พวกเราเป็นพระอรหันต์ เพราะทุกคนที่จะช่วยมนุษย์ ช่วยสังคม จะต้องทำตัวเองให้พ้นทุกข์ ช่วยตัวเองให้ได้ก่อน”

“ท่านต้องการให้ทุกคนทำตัวเองให้พ้นทุกข์ ให้มีที่พึ่งแข็งแรงเพียงพอที่จะช่วยโลก ช่วยสังคม ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้บริบูรณ์ได้ ท่านต้องการให้ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์”

ใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของชาวโศกย่อมรู้ดีกว่า ชาวอโศกนั้นเคลื่อนไหวและร่วมอยู่ในสนามการเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ได้จดทะเบียนพรรคสัมมาธิปไตย ที่มีหมอเขียว-ดร.ใจเพชร กล้าจน เป็นหัวหน้าพรรค

สมณะเดินดินเล่าว่า “ตอนนี้พรรคสัมมาธิปไตยมีสมาชิก 20,000 กว่าคนแล้ว สมาชิกเป็นทีมแพทย์วิถีธรรม ซึ่งแม้จะเป็นพรรคการเมืองหรือไม่เป็น คนกลุ่มนี้ก็ทำงานช่วยประชาชนมาตลอด ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนอยู่แล้ว เพียงแต่กฎหมายบังคับว่าถ้าคุณจะทำอย่างนี้ๆ ให้เขาสังกัดเข้าอยู่ในระบบพรรค แต่เขาไม่ใช่เพิ่งมาทำงานช่วยประชาชนตอนที่เป็นพรรคการเมือง แต่ 20-30 ปีที่ผ่านมาเขาก็ทำกันมาอยู่แล้ว เพียงรู้ว่าตอนนี้สังกัดพรรคสัมมาธิปไตยแล้ว จุดยืนคือ ทำงานเพื่อประชาชน โดยไม่หวังผลตอบแทน”

สมณะเดินดินย้ำว่า “พรรคสัมมาธิปไตยไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องมี ส.ส. แต่กฎหมายบังคับให้ต้องไปสมัคร ส.ส. จริงๆ แล้วเป้าหมายที่พ่อครูได้อธิบายให้พวกเราฟังไว้ก็คือ เราทำการช่วยเหลือประชาชนไปนั่นแหละ ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าเรามาทำให้ ไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้หวังยศ หวังตำแหน่งอะไร จะมีคนที่ทำงานให้กับสังคมไหม โดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน อยากจะตั้งพรรคการเมืองที่มีคนแบบนี้ ทำแบบนี้ ออกไปสู่สังคม แต่ก่อนไม่ได้มีกฎหมายเราก็ไปยืนหา แต่ตอนนี้มีกฎหมายที่บังคับให้ต้องออกไปสมัคร ส.ส.ก็คงจะไปสมัครตามที่กฎหมายบังคับ ถ้าไม่สมัครเขาจะยุบพรรค ซึ่งจะได้หรือไม่ได้ เราไม่ได้คิด คิดว่าคงไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้มีเงินไปซื้อเสียง มีแต่ความจริงใจที่อยากจะออกไปช่วยสังคมเท่านั้น”

กับคำถามที่ว่าหลังจากตั้งพรรคแล้วจะมีการเมืองเป็นรูปแบบอื่นๆ ไหม สมณะเดินดินตอบว่า “ตอนนี้พรรคสัมมาธิปไตยและชาวอโศกได้เข้าไปร่วมกับทางเวที คปท. ซึ่งเขามีสโลแกน มีประเด็นว่าจะเซฟกระบวนการยุติธรรม เราก็เห็นว่าบ้านเมืองตอนนี้เหมือนอยู่ในวิกฤต ประชาชนก็เดือดร้อน ทางแพทย์วิถีธรรม ทางหมอเขียวก็ออกไปร่วมชุมนุม แพทย์วิถีธรรมพยายามไปช่วยสนับสนุน”

“เท่าที่ผ่านมาก็ไปในรูปแบบของหน่วยสนับสนุนอาหาร หรือเรียกว่าเป็นหน่วยพลาธิการก็ได้ ไปดูแลช่วยเหลือประชาชนในเรื่องอาหาร เรื่องสุขภาพ เรื่องเก็บขยะ เรื่องสิ่งต่างๆ ที่จะบริการประชาชน เรียกว่ารับใช้ประชาชนที่เขาออกมาเรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรม ตรงนี้เห็นว่าอาจจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม และเห็นว่าประเทศไทยมีปัญหา จึงออกไปสนับสนุนอยู่ในช่วงนี้”

ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่เป็นสมณะแล้วไปเกี่ยวกับทางด้านการเมือง เหมาะสมกับความเป็นองค์กรทางศาสนา หรือไม่นั้น

ประเด็นนี้สมณะเดินดินอธิบายว่า “สิ่งแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าใจศาสนาว่าอย่างไร เข้าใจศาสนาพุทธว่าอย่างไร มองว่าคำสอนศาสนาพุทธคือการเอาตัวรอดเป็นยอดดี การเข้าป่าเข้าถ้ำไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม ใครจะเป็นจะตายอะไรก็เป็นเรื่องของประชาชนที่เขาจะต้องรับเคราะห์กรรมอะไรอย่างนี้ ถ้าเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นแบบนั้นก็จะมองว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ถูกต้อง เขาจะมองว่าไปยุ่งวุ่นวายทำไม”

“แต่สิ่งที่ท่านพระครูสมณะโพธิรักษ์ปลูกฝังให้พวกเราเข้าใจว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของสังคม ไม่ได้เป็นศาสนาที่ปลีกตัวคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม เพราะสังคมเหมือนกับเลี้ยงดู ซัพพอร์ตเราทุกอย่าง แต่พอสังคมเดือดร้อน บอกต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน เพราะฉันละกิเลสแล้ว ถ้าท่านเข้าใจความหมายของศาสนาเป็นแบบนั้นก็จะมองว่าเราไม่ถูกต้อง”

“สิ่งที่เราออกไป ไม่ได้ไปทำให้สังคมยุ่งวุ่นวายอะไร เราจะทำให้สังคมบ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย อย่างที่บอกแล้วว่า เราไม่ได้ไปตีรันฟันแทงกับใคร แต่ไปช่วยเหลือประชาชนที่เขามาเรียกร้องความเป็นธรรม ออกไปช่วยรับใช้สนับสนุน อย่างน้อยเขาจะได้ใจเย็นๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะอารมณ์รุนแรง”

“การไปของนักบวชอโศกก็มีผลเหมือนกัน พอเห็นนักธรรมนักบวชไป เขาก็ใจเย็นกันมากขึ้น เอาเป็นว่าไม่มีการชุมนุมไหนในโลกนี้ที่ผู้ชุมนุมโดนระเบิด โดน M79 โดนทำร้ายเสียชีวิต แต่ทุกอย่างก็สงบเรียบร้อย ในต่างประเทศแค่ตำรวจจับวัยรุ่นไม่เป็นธรรม เขาจุดไฟเผา ไม่ว่าอังกฤษหรืออเมริกา ดูความรุนแรงของประเทศที่คิดว่าเป็นประชาธิปไตย กับประเทศไทยที่ว่าไม่มีประชาธิปไตย ประเทศของเรามีความสงบเรียบร้อยมากกว่า”

สมณะเดินดินยังได้ขยายความถึงข้อสงสัยของผู้คนในสังคมเกี่ยวกับทิศทางการเมืองของชาวสันติอโศกจะเป็นเช่นไร ว่าในทิศทางการเมืองก็คือเป็นบุญนิยมหมายเลข 7 ที่พ่อครูคิดว่าจะช่วยมนุษยชาติได้ มีอยู่ 7 ข้อด้วยกัน การเมืองบุญนิยมเป็นข้อสุดท้ายที่พ่อครูเชื่อว่าน่าจะทำให้เกิดขึ้นในโลกในสังคม และท่านก็ตั้งพรรคสัมมาธิปไตย ให้ผู้ที่เป็นฆราวาสทำพรรคสัมมาธิปไตยขึ้นมา พรรคนี้คือพรรคการเมืองที่จะไปทำงานโดยหวังตำแหน่ง ไม่หวังยศศักดิ์ ไม่หวังเงินทอง แต่อยากให้คนที่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ออกไปช่วยมนุษย์ โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรตอบแทน

“พ่อครูบอกว่า ถ้ากฎหมายไม่ได้บังคับให้ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ต้องสมัคร เว้นแต่ประชาชนมาเรียกร้องให้เราลงไปสมัคร ส.ส. เราค่อยลงไปทำงานการเมือง นั่นคือเป้าหมายภาพรวมว่าสิ่งที่ต้องทำต่อ คือต้องมาทำการเมืองบุญนิยม ไม่ใช่ทำการเมืองเพื่อไปแย่งลาภ แย่งยศ อย่างที่เขาทำกันทุกวันนี้ แต่เราจะทำประโยชน์ให้กับประชาชน สังคม ให้กับมนุษยชาติได้อย่างไร เขาบอกว่าต้องไปมีพรรคการเมือง เราก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา แต่จุดยืนก็ชัดเจนว่าเป็นพรรคการเมืองแบบบุญนิยม ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อจะไปมีตำแหน่ง ส.ส. หรือมีตำแหน่งรัฐมนตรี”

สมณะเดินดินย้ำอีกว่า “การไปยุ่งกับการเมือง อยากจะให้หมุดหมายก่อนว่าการไปยุ่ง ทำให้บ้านเมืองที่ยุ่งอยู่แล้ว ยุ่งมากยิ่งขึ้น เขาแย่งลาภแย่งสรรเสริญกันหนักอยู่แล้ว เราเข้าไปร่วมแย่งกับเขาหรือเปล่า จริงๆ เราไม่ได้มีทิศทางอย่างนั้นเลย บอกแล้วว่าสิ่งที่พรรคทำไปก็เพื่อไปรับใช้บริการประชาชน ไปช่วยเหลือประชาชน เหมือนกับเป็นหน่วยพลาธิการ ทุกๆ ครั้งตลอดเกือบ 9-10 ปีที่ผ่านมา แม้การเข้าร่วมกับพันธมิตร กปปส. พอเสร็จแล้ว เราก็กลับมาวัดต่อ ไม่เคยเรียกร้องว่าจะต้องได้ตำแหน่งอะไร เรามีหน้าที่ไปให้บริการช่วยเหลือประชาชนเท่านั้นเอง”

“เพราะฉะนั้น ไม่ได้คิดว่าเข้าไปทำให้การเมืองวุ่นวายอะไร แต่คิดว่าทำให้การเมืองสงบเรียบร้อย ไม่ฆ่า ไม่ต้องดุเดือดเลือดพล่านอะไร”

 

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่สงสัยกันว่า มีพรรคการเมืองไหนที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกับพรรคสัมมาธิปไตยหรือไม่ที่จะเข้าร่วมทำงานกันได้ สมณะเดินดินตอบทันที

“อาตมารู้สึกว่ามีพรรคเดียว คือ การเมืองพรรคประชาชน ประชาชนที่ออกมาช่วยเหลือกัน อันนี้แหละที่เขามาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ นอกนั้นจะหาทำยาหยอดตายากมาก พรรคการเมืองในประเทศไทยที่ทำแล้วเขาไม่ได้หวังอะไร ส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายของเขาที่จะได้ลาภได้ยศ ได้ตำแหน่งอะไรกัน จริงๆ แล้วอาตมาคิดว่าการเมืองภาคประชาชนในประเทศไทย ถ้าสามารถช่วยกันทำให้แข็งแรงขึ้นมาได้”

“อย่างสถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับไม่มีพรรคฝ่ายค้านเลย ไม่มีใครตรวจสอบใครเลย มีแต่คนพร้อมจะเข้าไปเป็นรัฐบาล ก็เหลือแต่ประชาชนที่นอนอยู่ข้างถนนกันนั่นแหละ ที่คอยตรวจสอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ออกมา”

“ถามว่ายังหาพรรคที่ว่ามีอุดมการณ์ใกล้เคียงกันไหม ไม่มีหรอก เพราะมีแต่คนอยากจะไปเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น ในขณะที่ชาวอโศกก็ยังยึดคำสอนของพ่อครูที่จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม เราอยากจะทำให้ 150% เลย ถ้าทำได้ เราก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ท่านทำไว้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น เราคิดว่าเราทำสุดแรงเกิดของเรานั่นแหละที่จะทำได้ ซึ่งตรงนี้เหมือนพ่อครูยังไม่ได้จากเราไป อาตมาคิดว่าใช่ พอพลังร่วมแรงร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อาตมาจะบ้ากว่าตอนพ่อครูอยู่ด้วยซ้ำไป เพราะตอนพ่อครูอยู่เหมือนเรายังสบายๆ กัน รู้สึกว่าพ่ออยู่ เราก็ไม่ค่อยได้ตั้งอกตั้งใจอะไรจริงๆ จังๆ เท่าไร แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า พอท่านไม่อยู่ เราเองจะต้องทำให้ดี เพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่ท่านได้สอนได้บอกเอาไว้ให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไป เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ”

“อีกสิ่งหนึ่งก็คือสิ่งที่ท่านทำไว้บนโลกนี้ บางคนยังไม่รู้จักเลยว่าท่านเป็นใคร บางคนมองหมือนกับคนไม่ปกติหรือคนเพี้ยน แต่เขาก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าท่านเป็นคนเพี้ยน เพราะว่าคนที่ท่านสอนก็เป็นคนดีทั้งนั้นเลย ถ้าอาจารย์เพี้ยน แต่ลูกศิษย์ดีก็ไม่น่าจะสอดคล้องกัน”

“เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามที่จะทำให้พ่อครู โดยเฉพาะท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาช่วยสังคมมนุษยชาติ คิดว่าสังคมจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็อยู่ที่สิ่งที่พวกเราได้เสียสละ ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม แล้วสักวันหนึ่งสังคมจะรู้ว่าพ่อครูเกิดมาเพื่อมากอบกู้ศาสนาพุทธ ให้ได้ยืนยาวต่อไปอีก นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจที่เราคิดว่าจะต้องทำเรื่องนี้กัน เพื่อให้เห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้จริง”

 

ส่วนความเป็นไปของชาวอโศกในยุคนี้ สมณะเดินดินบอกว่า “ในส่วนของชาวอโศกใหญ่ๆ มี 9 จังหวัดที่ว่ามีบ้าน มีชุมชน มีโรงเรียน มีพุทธสถาน 9 แห่งที่อยู่ตามภาคต่างๆ นอกนั้นจะเป็นชุมชนอาวาสสถานตามจังหวัดต่างๆ โดยอาวาสสถานมีญาติธรรมอยู่กันเป็นหลัก ไม่มีนักบวชอยู่ มีกระจายกันไปสัก 20 แห่งตามจังหวัดต่างๆ”

“ส่วนว่าจะขยายออกไปได้อีกไหม ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตอนนี้สังคมจับตามองว่าสิ้นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แล้ว จะสิ้นสันติอโศกหรือเปล่า ซึ่งก็อยู่ที่สิ่งที่พวกเราจะช่วยกันขับเคลื่อน อาตมาเชื่อว่าพวกเราคงจะไม่ปล่อยให้สันติอโศกสิ้นไป”

“อย่างไรก็ตาม จะสิ้นไม่สิ้นก็อยู่ที่ว่าพวกเรายังยึดถือในคำสั่งสอน ยึดถือในสิ่งที่พ่อครูพาเรายึดถือปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ว่ากำลังความตั้งใจของพวกเรายังไม่ได้ถดถอยหรือท้อแท้ เป็นความตั้งใจจริงๆ เลยว่าพวกเราจะต้องกตัญญูต่อท่าน ท่านอยู่กับเราท่านก็ทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้ศาสนาพุทธเกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา”

“ถ้าคิดว่าเราเป็นลูกศิษย์พ่อครูหรือผู้ที่มีความกตัญญูต่อท่านก็ต้องทดแทน ต้องทำต่อไป ไม่ใช่ว่าท่านไม่อยู่แล้วเราก็ทิ้ง เลิก คิดว่าชาวสันติอโศกถูกอบรมมาตั้ง 50 ปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไปทำอีกเรื่องหนึ่ง พ่อครูไม่อยู่แล้วกลับไปกินหมูเห็ดเป็ดไก่ กลับไปอบายมุข ไปฉลองกันให้เต็มที่ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราทำกันมายาวนาน ถูกปลูกฝังมายาวนาน ได้รับการอบรมมายาวนาน”

“เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในเลือดในวิญญาณที่จะเดินก้าวหน้ากันต่อ”