มุมมอง ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ หลังยุบก้าวไกล ต้องมีความหวัง เลิกหวังเมื่อไหร่ก็หมดทุกอย่าง

มุมมอง ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ หลังยุบก้าวไกล

ต้องมีความหวัง เลิกหวังเมื่อไหร่ก็หมดทุกอย่าง

 

รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมถอดปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยหลังคดียุบพรรคก้าวไกล กับมติชนสุดสัปดาห์ ว่า

“ผมมองดูแล้ว เรื่องที่เราชอบพูดกันเกี่ยวกับการเมืองไทยต้องดูทั้งทางรัฐศาสตร์และทางนิติศาสตร์ ซึ่งบังเอิญผมสอนอยู่ทั้ง 2 สาขานี้ ก็มองไม่เห็นเลยว่ามันจะยุบได้อย่างไร หากพูดในทางนิติศาสตร์มองไม่เห็นเลย เพราะว่า กกต.ทำผิดขั้นตอน Due process of Law หรือวิถีทางที่ถูกต้องแห่งกฎหมาย ตามที่หลายคนชี้ว่าเป็นการข้ามขั้นตอน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการสอบสวน ต้องมีการไต่สวนก่อนที่จะยื่นฟ้อง”

“ส่วนทางรัฐศาสตร์เอากันจริงๆ ตรงๆ อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติต้องการจะแก้กฎหมาย ซึ่งเป็นหน้าที่แต่กลับกลายเป็นการล้มล้างการปกครอง มันหมายความว่าไง?”

แล้วเรื่องยุบพรรคการเมือง มันเป็นเรื่องของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนที่ไม่ได้มีความยึดโยงอะไรกับประชาชนเลย

หากย้อนดูประวัติศาสตร์มีพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปกี่พรรคแล้ว ก็ยุบแทบจะทุกพรรค เว้นแต่ประชาธิปัตย์พรรคเดียว นอกนั้นรู้สึกจะถูกยุบหมดแล้วทุกพรรค ยุบกันเป็นที่สนุกสนาน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวคือ คนเลยถือกันว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งความจริงมันเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมโหฬาร ผิดที่ตัวหลักการ ผิดที่เสาเอก มันไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งหลักรัฐศาสตร์ ทั้งนิติศาสตร์อย่างที่กล่าวไปข้างต้น

แต่มันก็คงจะดีกว่ามั้ง เพราะนึกว่าจะยืดๆ ออกไปจนถึงใกล้เลือกตั้งแล้วค่อยยุบพรรคก้าวไกลจะได้ไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 3 ปี ก็เห็นเขาเตรียมเรียบร้อยหมดแล้ว

: พรรคก้าวไกลถูกยุบ ความโกรธจะรอไปลงที่คูหาไหม

ถ้าหากมีการยุบพรรคก้าวไกลในมุมของประชาชนคงมีผลกระทบบ้าง ใครจะไปนึก ตอนปี 2563 ว่ามันแรงมากแล้วนะ แต่รัฐบาลก็ยังอยู่ได้ตีมึนไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเรื่องการยุบพรรคหรือการตัดสิน ถึงขนาดว่านายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไปทำกับข้าว ก็ให้ออกจากตำแหน่งได้แล้วก็หาเรื่องยุบต่อไปได้ ก็พิลึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคก้าวไกลออกมาเปิดโปงขั้นตอนให้เห็นก็ยิ่งชัด เมื่อก่อนหลายคนก็มองว่าใช้อำนาจเป็นธรรมก็รับๆ ไป แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว

ดังนั้น แน่นอน มั่นใจว่าเลือกตั้งคราวหน้าดูไม่จืด มันใกล้จะเหมือนพม่า ตอนที่ผลการเลือกตั้งของออง ซาน ซูจีได้ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ รัฐธรรมนูญของพม่าเลวร้ายกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ของเรา คิดว่าคงได้เจอประชาชนเก็บความแค้นเอาไว้แล้วก็มาเล่นงานกันทีเดียว เลือกตั้งคราวหน้า เสียงข้างมากพรรคเดียวคงจะได้แน่ๆ แต่จะได้มากได้น้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง ถึงแม้พรรคก้าวไกลจะสู้โดยลำพังก็ตาม

: ถ้าพรรคอื่นอยากจะเอาชนะพรรคก้าวไกล จะต้องทำอย่างไร

ต้องทำงานให้หนักกว่าพรรคก้าวไกล ซึ่งลำบากนะโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนสมาชิกของพรรคก้าวไกล เมื่อเห็นการทำงานแล้ว เป็นมืออาชีพจริงๆ ทั้งการหาข้อมูล หาเหตุหาผล ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ ไม่เห็นเคยเห็นเขาตีโวหาร เขาเอาตัวเลข เอา fact ซึ่งต้องทำให้ดีกว่าเขา ถามว่าไหวไหมล่ะ

: อาจารย์มอง 1 ปีรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นอย่างไร

เราพูดกันตามข้อเท็จจริง เศรษฐกิจโลกก็ไม่ดี แต่ว่ารัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยอะไร คิดว่าเสียเปล่าด้วยซ้ำไป สิ่งควรจะทำอะไรตั้งหลายอย่างแล้วไม่ทำ อย่างเรื่องแก้รัฐธรรมนูญก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นปัญหา ทำไมยังลากเวลาอยู่อีก ไม่เข้าใจ

การกลับมาของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะความคิดอะไรต่ออะไรต่างๆ แบบของคุณทักษิณ ตอนนี้มันตกยุคไปแล้ว ต้องยอมรับความจริง เหมือนคอมพิวเตอร์ มือถือ อะไรต่ออะไรต่างๆ ที่เราใช้พอมันตกยุคไปแล้ว นึกถึงโทรศัพท์มือถือของฟินแลนด์ (Nokia) ใครจะไปนึกว่าเจ๊งได้

: ทำไมคนรุ่นใหญ่ๆ หลายๆ คนยังถ่วงรั้งประเทศเอาไว้ในแบบที่เขาต้องการ?

ผมว่าการฟังในเรื่องที่ถูกเน้นย้ำกันมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตจนกระทั่งแก่ แล้วเกิดเชื่อกันจริงๆ ผมว่ามันมีปัญหาอยู่มาก แต่สำหรับตัวผมเอง ยอมรับในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ยอมรับนับถือคนที่มีความสามารถขึ้นมาจริงๆ ด้วยความสามารถนะ โดยไม่ใช้เส้นสาย และก็เห็นว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ เปลี่ยนไปเยอะด้วยแล้ว ต้องยอมรับว่าคนรุ่นผม ในวัย 70 กว่าๆ ก็มีปัญหาว่าตามไม่ทันโลก เมื่อตามไม่ทันก็เลยโมเม โกรธแล้วก็พยายามยึดสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ที่เคยทำสำเร็จหรือเคยทำแล้วมันดี มันก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก

แล้วเวลามันเปลี่ยนเปลี่ยนเร็วมากเลย เช่น ตอนปี 2000 ตอนนั้นอายุผม 52 ผมลาไปเรียน ตปท. เพราะผมรู้สึกว่าผมตามไม่ทัน ผมพายเรือในอ่าง เชื่อไหมคนรุ่นผมเห็นคอมพิวเตอร์เหมือนเห็นผีเห็นแล้วกลัว เพราะฉะนั้นเขายอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วการเปลี่ยนแปลงมันเปลี่ยนแปลงเร็วด้วย เมื่อก่อนผมจำได้มีการบ่นเรื่องคน Gen Y ตอนนี้พอเจอ Gen Z เข้าไปก็หน้ามืดหนักเลย เพราะฉะนั้นคนเราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง

: เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรภายใต้สังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดสูง

สิ่งสำคัญคือ เราไม่เข้าใจคำจำกัดความของคำว่า “ชาติ” เสียมากกว่า เพราะ “ชาติ” ความหมายที่แท้จริงคือเป็นสิ่งที่นามธรรม ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ถ้ามีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเราก็รับกันได้ เกิดความสามัคคีกันได้ แต่คนไปตีความว่า “ชาติ” เป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วเป็นยังไง ถ้าไม่ชอบหน้าใคร เมื่อสมัยผมก็ชี้หน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนปัจจุบันไม่ต่างกันชี้หน้าบอกว่าเป็นพวกทำลาย ชังชาติ ขายชาติ เพราะฉะนั้นคนรุ่นผมตอนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่

: ยังเห็นความหวังกับประเทศไทยนี้ไหม

ผมเคยมีหวังตอนเราร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 เสร็จ ผมมีความหวังมาก และผมมีความหวังอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ผมหมดหวังเลย ผมต่อต้านตั้งแต่แรกให้โหวตโน โหวตไม่เอาๆ เด็ดขาด มันพิลึกที่สุดในโลก

ผมหมดหวังเลย ตอนรัฐประหารปี 2557 ประเทศไทยถูกแช่แข็งประเทศไทย เกือบ 10 ปีเลย จนกระทั่งเมื่อมีการเลือกตั้งปี 2562 เกิดพรรคอนาคตใหม่ ก็เห็นเทรนด์ของพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา ผมก็มีความหวัง ถึงแม้ถูกยุบแล้ว ผมก็ยังหวังว่ามันไปได้อยู่นะครับ และหวังอย่างมากเลยเมื่อตอนเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา แต่ว่าก็ยังไม่สมหวัง

แต่ผมก็ยังหวังอยู่นะ เห็นจากการทำของพวกเขา แล้วผมก็พอจะนอนใจได้ว่าต่อไปก็คงจะเหมือนพม่าในสมัยออง ซาน ซูจีชนะเลือกตั้ง

: อยากเห็นอะไรสักครั้งหนึ่งในชีวิต วาดฝันบรรยากาศการเมืองประเทศเราไว้อย่างไร

อยากให้ทำตามหลักการ หลักวิชาการจริงๆ สักที ผมว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ตอนสอนอย่างหนึ่งแล้วในความเป็นจริง ในการปฏิบัติกันมันเป็นอีกอย่างแล้วมักจะเป็นตรงกันข้าม ตอนสอนรัฐศาสตร์ก็ยังพออธิบายชี้แจงอะไรได้กว้างๆ หลายๆ มุม แต่พอยิ่งมาสอนกฎหมายแล้วรู้สึกมันหนักกว่าตอนสอนรัฐศาสตร์ เพราะว่ามันเล่นๆ กันจนกระทั่งแบบพูดไม่ออกเลยว่ามันน่าเกลียดขนาดไหนที่ว่ามันขาวเป็นดำเลย เป็นสิ่งที่เหนื่อยใจมาก

จนถึงขนาดว่าเวลาผมเริ่มสอน ผมสอนหลักการที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องบอกลูกศิษย์ว่าที่เราเห็นๆ อยู่ทุกวันนี้ของเรามันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าเอาไปใช้มันก็มีปัญหา

สุดท้ายสิ่งที่ผมอยากเห็นในบ้านเมืองนี้คือ ความสมเหตุสมผลเท่านั้นเอง ให้มันเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น ผมก็หวังแค่นั้นน่ะ แค่นั้นจริงๆ แล้วก็ยังคงพูดอยู่เสมอๆ กับลูกศิษย์ว่าเราก็ต้องมีความหวังนะ

แต่ถ้าเลิกหวังเมื่อไหร่มันก็หมดทุกอย่าง และหวังว่ามันคงจะดีขึ้น

ชมคลิป