มหากาพย์ปลาปีศาจ ฤๅจะจับมือใครดมไม่ได้?

สังคมไทยกังวลต่อการแพร่ระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ปลาปีศาจที่มีคุณสมบัติพิเศษในการแพร่กระจายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถอาศัยได้อยู่ในทุกแหล่งน้ำ

ชนิดที่ว่า ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอ่ยปากว่าเป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่ยืนยันให้สัญญากับพี่น้องประชาชนว่าจะต้องปราบหมดให้ได้

จนมีการรัวคำถามใส่รัฐบาล ถึง ‘ต้นตอ’ ของการแพร่ระบาดครั้งนี้ หลายคนเดาว่าเหตุที่หน่วยงานรัฐไม่เฉลยสาเหตุ หรือเจาะตัวการปล่อยระบาดได้ เพราะมีเบื้องหลังทางธุรกิจหรือการเมืองเข้ามาเอี่ยวด้วยหรือไม่?

หรือธุรกิจทำถูกต้อง แต่ผิดที่ข้าราชการเอง?

แม้ตอนนี้ยังไร้คำตอบ แต่ทุกฝ่ายต่างยืนยันว่ากำลังเร่งสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างสุดความสามารถ ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดครั้งนี้ เพราะลุกลามจนถือว่าเป็นวิกฤตแห่งชาติ ในปี 2567 ก็ว่าได้

จากกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ได้ลุกลามไปยังหลายพื้นที่ 17 จังหวัดในประเทศไทยรวมถึงแหล่งน้ำในกรุงเทพมหานครนั้น ส่งผลกระทบทำให้พี่น้องชาวประมงหลายรายได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบและรับศึกหนัก หนีไม่พ้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมประมง

ที่ผ่านมาการระบาดของปลาหมอคางดำที่ลุกลามมากขึ้นและการแพร่กระจายที่เร็วเกินกว่าที่ บัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง จะรับมือไหว ต้องการแรงสนับสนุนจากทั้งภาคประชาสังคมและภาคเอกชนมากขึ้น

โดย อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด ระบุว่า 7 มาตรการที่ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) งบประมาณ 450 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนงบฯ เพิ่มเติมจากการยางแห่งประเทศไทยอีก 53 ล้านบาท มาจากการระดมสมองร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมผู้เพาะพันธุ์ เลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ รวมถึงกลุ่มชาวประมงท้องถิ่น

คาดการณ์ว่าจะปราบปลาหมอคางดำจบสิ้นภายในกรอบปี 2570 โดยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เน้นมาตรการที่ 1 คือ กำจัด มั่นใจว่าปริมาณจะลดลงภายใน 2-3 เดือน และหลังจากนั้นจะเริ่มนำมาตรการถัดไปเข้ามาเสริมทัพแก้ปัญหาจนครบกรอบ 7 มาตรการที่วางไว้

รายงานล่าสุดหลังกรมประมงเปิดจุดรับซื้อปลาหมอคางดํา 73 จุด ตั้งแต่วันที่ 1-3 สิงหาคม ได้รับรายงานว่ามีปริมาณรับซื้อปลาหมอคางดำไปแล้วกว่า 22,000 กิโลกรัม (ก.ก.)

 

ประเด็นต้นตอการแพร่ระบาดที่ยังไร้คำตอบ ทำให้สภาทนายความวางแผนฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนอรรถกรออกมาชี้แจงว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมประมงไม่เคยนิ่งเฉย พยายามสอบสวนหาต้นตออย่างสุดความสามารถ ยืนยันไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากบริษัทเอกชน และไม่คิดปิดบังประชาชน

ขณะเดียวกัน ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังสั่งการให้กรมประมงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้าปลาหมอคางดำที่ผ่านมา และสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง กรอบ 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ล่าสุดการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว

ความกังวลเริ่มลุกลาม เมื่อ อดิศร เจ้าของวังกุ้ง พื้นที่หมู่ 6 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ตั้งคำถามถึงปลาที่ตัวเองจับได้ว่า เป็นการผสมกันระหว่างปลาหมอคางดำ กับปลานิล แล้วกลายพันธุ์เป็น “ปลานิลคางดำ” หรือไม่

กระทั่งกรมประมงออกมายืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะปลาเพศเมียมีพฤติกรรมดูแลไข่และตัวอ่อน แต่ในส่วนของปลาหมอคางดำ ปลาเพศผู้มีพฤติกรรมดูแลไข่และตัวอ่อน ซึ่งความแตกต่างทางชีววิทยาดังกล่าวข้างต้น ทำให้ในธรรมชาติปลาทั้งสองชนิดจะไม่ผสมข้ามพันธุ์

ดังนั้น ความน่าจะเป็นในการเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ในธรรมชาติมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และยังไม่พบข้อมูลหลักฐานทางวิชาการที่ระบุการผสมข้ามพันธุ์ในธรรมชาติระหว่างปลาทั้ง 2 ชนิด

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแคมเปญบริโภคและแปรรูปปลาหมอคางดำ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนและทุกภาคส่วน ภายหลังกรมประมงประชาสัมพันธ์ว่า ปลาชนิดนี้นำมาแปรรูปและรับประทานได้ เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยกำจัดปลาปีศาจนี้ได้เร็วขึ้น

รวมถึงไอเดียของทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแผนโครงการที่จะนำปลาหมอคางดำไปแปรรูปเป็นเมนู ‘ปลาร้า’ จากปลาหมอคางดำ ต่อยอดเป็นรายได้ให้กับชาวประมงและชาวเกษตรกร

เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัสสนับสนุนโครงการนี้จริงจัง ได้เชิญเชฟ ชุมพล แจ้งไพร เข้ามาปรึกษาหารือวิธีการจะนำตัวเนื้อปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นเมนูปลาร้าที่ได้รสชาติอร่อย สะอาด และปลอดภัยได้มาตรฐาน หากโครงการนี้สำเร็จ จะนำไปให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลองชิม และผลักดันเป็นแนวทางการช่วยเสริมรายได้ให้พี่น้องชาวประมงที่ได้รับผลกระทบนั้นให้มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีขึ้น

สำรวจความคิดเห็นคนทั่วไปในโลกออนไลน์ พบว่า ภายหลังภาครัฐประชาสัมพันธ์เรื่องการบริโภคและแปรรูป ประชาชนสนใจ ไม่ตื่นกลัวเหมือนตอนแรกที่ระบาด

หวังว่ามหากาพย์ปลาปีศาจจะจบลงโดยเร็ว ลากตัวผู้เป็นต้นตอนำเข้ามาลงโทษ พร้อมเข้มงวดกฎหมายนำเข้าสัตว์น้ำด้วยเถิด!!