นงนุช สิงหเดชะ / อย่างนี้ก็ได้เหรอ! หวง “ยิ่งลักษณ์” ห้ามคนอื่นถือ “แอร์เมส” แข่ง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

อย่างนี้ก็ได้เหรอ! หวง “ยิ่งลักษณ์” ห้ามคนอื่นถือ “แอร์เมส” แข่ง

ข่าวเล็กๆ ที่เป็นสีสันต่อเนื่องมาจากข่าว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือกระเป๋าสุดแพงแอร์เมส รุ่นเบอร์กิ้น ทำจากหนังจระเข้สีชมพู เดินช้อปปิ้งอยู่ในลอนดอน อันเป็นคำตอบที่กระจ่างต่อคำถามที่เกิดขึ้นหลายเดือนว่าเธอหลบหนีไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ก็คือข่าวที่มีผู้หญิงรายหนึ่งใช้เฟซบุ๊กโพสต์ภาพกล่าวหาว่า นางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี ถือกระเป๋าแอร์เมส หนังจระเข้ สีดำ ราคา 2 ล้านบาท ในคราวที่ได้รับเชิญจากประธานาธิบดีทรัมป์ ไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อปลายปีที่แล้ว

ผู้โพสต์ (ซึ่งใช้คำหยาบภาษาพ่อขุน) ได้ตั้งคำถามว่า นางนราพรเป็นเพียงอดีตข้าราชการ เอาเงิน 2 ล้านบาทที่ไหนมาซื้อ ส่วนนายกฯ ปู (ยิ่งลักษณ์) เป็นนักธุรกิจหมื่นล้าน

แน่นอนว่า เจ้าของโพสต์รายนี้ น่าจะเป็นแฟนคลับของยิ่งลักษณ์ พูดอีกอย่างก็คือคนเสื้อแดงนั่นเอง

และแรงจูงใจในการโพสต์ก็คงไม่พ้นเรื่องการเมือง ประมาณว่าคนที่คู่ควรกับกระเป๋าราคาแพงที่สุดในโลกรุ่นนี้ควรเป็นคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น เพราะว่าเป็นคนรวยหมื่นล้าน

ส่วนข้าราชการอย่างนางนราพรไม่ควรมีปัญญาซื้อมาถือเทียบชั้นยิ่งลักษณ์ (นี่แบ่งชนชั้นชัดๆ ซึ่งขัดกับอุดมการณ์คนเสื้อแดง)

เป็นอารมณ์แบบเด็กอนุบาลหรือเด็กประถม ที่ชอบอวดกันว่า แม่ฉันรวยกว่าแม่เธอ แม่ของฉันมีอันนี้ แม่ของเธอไม่มี หรือไม่มีสิทธิที่จะมีเพราะไม่รวยเท่าแม่ฉัน

พอจะเข้าใจได้หากเป็นกรณีที่นางนราพรไปถือกระเป๋าที่ชวนให้เข้าใจว่าเป็นแอร์เมสนี้ หลังจากมีภาพคุณยิ่งลักษณ์ถือแอร์เมสปรากฏตัวทางสื่อ ซึ่งอาจชวนให้เข้าใจว่านางนราพรอยากอวดรวยแข่งคุณยิ่งลักษณ์ แต่ข้อเท็จจริงคือภาพถือกระเป๋าดังกล่าวของภริยานายกฯ เป็นภาพเก่าตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว

ส่วนภาพคุณยิ่งลักษณ์เพิ่งโผล่เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ ดังนั้น ก็ไม่มีประเด็นจะต้องให้อิจฉาขุ่นเคืองว่านางนราพรอยากแข่งกับยิ่งลักษณ์ด้วยการโชว์กระเป๋าแพง

แต่ว่าดูจากการวางท่าถ่ายรูปแล้ว เห็นชัดว่าคุณยิ่งลักษณ์ต่างหากที่ต้องการโชว์เน้นๆ เพราะมีการถือมาไว้ข้างหน้าและหันด้านหน้ากระเป๋าเข้าหากล้องให้เห็นชัดๆ เน้นๆ เพื่อให้คนดูรู้ทันทีว่าเป็นกระเป๋ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน ส่วนป้านราพรนั้น แกถือธรรมดาและเป็นธรรมชาติคือถือไว้ข้างตัวตอนยืนถ่ายรูปกับทรัมป์และภริยา ถ้าไม่พยายามมองก็ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร

ต่อมามีผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น ออกมาให้ข้อมูลตอบโต้ว่า กระเป๋าที่ภริยานายกฯ ถืออยู่น่ะ แอร์เมสที่ไหนกัน กระเป๋าจากศูนย์ศิลปาชีพต่างหาก (เป็นกระจูดสานด้วยแน่ะ)

เขาถึงเตือนกันว่าจะโพสต์อะไรลงโซเชียล ควรต้องทำการบ้านให้หนัก ถ้าไม่ชัวร์ ไม่แน่ใจ ก็ไม่ควรโพสต์ เพราะไม่เช่นนั้นตัวเราเองจะขายหน้า

นอกจากนี้ หากทำการบ้านต่อไปอีก ก็จะพบว่า นางนราพรมีทรัพย์สิน 26 ล้านบาท ถ้าจะซื้อกระเป๋าใบละ 2 ล้านบาท ก็ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง (แต่เชื่อว่าถึงมีปัญญาซื้อ คุณนราพรแกก็คงไม่ซื้อ)

ประการต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นสามี มีทรัพย์สิน 102 ล้านบาท (ได้รับมรดกจากบิดา) ดังนั้น หากจะซื้อกระเป๋าใบละ 2 ล้านบาทให้ภรรยา ก็เป็นเรื่องสมควรแก่ฐานะ

มนุษย์ที่มีจิตละเอียด เขามักให้ความสำคัญและคุณค่าต่อเรื่องอื่นมากกว่าข้าวของเงินทอง มนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เขาจะรู้จักวางตัว รู้กาลเทศะ รู้ว่าสถานะของตัวเองควรทำตัวอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาก็นับว่านางนราพรวางตัวได้ดี ปลอดจากเรื่องอื้อฉาว เพราะว่าเธอเป็นอาจารย์ผู้มีสติปัญญา รู้จักวางตัว รู้จักใช้ดุลพินิจ

การที่เธอไม่ถือกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง แต่ถือกระเป๋าไทยทำ นับเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของภริยาผู้นำประเทศที่จะส่งเสริมสินค้าไทย แบบเดียวกับที่มิเชล โอบามา อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐทำ นั่นคือใช้เสื้อผ้าราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามห้างทั่วไป เป็นเสื้อผ้าที่ชาวบ้านใส่ เพียงแต่รู้จักผสมผสานดัดแปลง

และเน้นส่งเสริมเสื้อผ้าที่ออกแบบโดยคนในชาติของตัวเอง

ประเด็นแอร์เมสนี้ชวนให้นึกย้อนไปถึงเสื้อแดงบางคนเคยปล่อยไก่กล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เก่งเท่า บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ในคราวที่มีการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมประจำปีสหประชาชาติที่นิวยอร์กเมื่อปี 2559 โดยเยาะเย้ยว่า พล.อ.ประยุทธ์กล่าวสุนทรพจน์แบบต้องอ่านโพยหรือสคริปต์ ส่วนโอบามานั้นพูดสดโดยไม่ต้องดูสคริปต์

ทำให้นายสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล อดีตอาจารย์ธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดอยู่ในซีกเดียวกับคนเสื้อแดง ได้ออกมาเฉลยว่าโอบามาไม่ได้พูดสด แต่อ่านสคริปต์จากเครื่อง Teleprompter (เทเลพรอมพ์เตอร์) ถ้าแปลแบบตรงๆ ก็คือเครื่องบอกบทจากระยะไกล

อุปกรณ์นี้จะประกอบด้วยจอใส เหมือนแผ่นพลาสติก ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ วางไว้ด้านซ้ายและขวาของโพเดียม ด้านหน้าของผู้พูด จอใสนี้จะสะท้อนเนื้อหาสคริปต์จากจอมอนิเตอร์ด้านล่างขึ้นมาโดยไหลไปเรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้ลดภาระท่องจำบท หรือไม่ต้องคอยก้มหน้าอ่านจากกระดาษ ซึ่งบรรดาผู้นำ ผู้บริหารนิยมใช้กันมากเวลาต้องกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมหรืองานใหญ่ๆ

โอบามานั้นได้ชื่อว่าเป็น “เทเลพรอมพ์เตอร์ กาย” เพราะนิยมใช้เทเลพรอมพ์เตอร์มากกว่าผู้นำสหรัฐคนอื่น ซึ่งเคยมีเรื่องขำเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเทเลพรอมพ์เตอร์เสีย ปรากฏว่าโอบามาไปไม่เป็น พูดต่อไม่ได้ ดังนั้น จะปลอดภัยที่สุดหากมีสคริปต์กระดาษสำรองอยู่ในมือ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้อ่านข่าวโทรทัศน์เช่นกัน ถ้าเห็นอาการสะดุดตะกุกตะกัก ก็เป็นอันรู้กันว่าเทเลพรอมพ์เตอร์ขัดข้อง

การที่เสื้อแดงคนนั้นเข้าใจว่าโอบามาพูดสด ก็เพราะเวลามีการถ่ายทอดออกมาทางทีวี ผู้ชมทางบ้านจะไม่เห็นจอเทเลพรอมพ์เตอร์ แต่จะเห็นแค่ว่าโอบามาหันไปทางซ้ายที ขวาที สลับไปมาอย่างนี้ตลอดเวลา ดูเผินๆ จะเหมือนกับว่ากำลังหันหน้าไปคุยกับผู้ฟังแบบสดๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะอย่างนี้เองจึงทำให้บรรดาผู้นำนิยมใช้อุปกรณ์นี้เนื่องจากสามารถตบตาชาวบ้านจำนวนไม่น้อยได้ว่าตัวเองนั้นสามารถพูดได้อย่างธรรมชาติ ไม่ต้องมีสคริปต์

ในครั้งนั้นนายสมศักดิ์ได้ปรามเสื้อแดงในทำนองว่าอย่าพยายามปล่อยไก่บ่อย จะเสียเครดิต