ปฏิทรรศน์จันทรา | ณพรรธน์ : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

ปฏิทรรศน์จันทรา | ณพรรธน์

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

 

ล่วงเข้าคืนที่สองแล้วที่แม่เอาแต่แหงนหน้ามองดวงจันทร์แฝด โดยแทบไม่ได้แตะต้องอาหารที่ผมคอยวางไว้ให้ทุกสามมื้อ เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศต้นเดือนกันยายนหนาวกว่าปีก่อนๆ นัก

ผมเพิ่งกลับจากเยี่ยมเยียนป้าหลี่-เพื่อนบ้านที่สนิทสนมกับแม่ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บ้านเรามักทำทุกช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก่อนที่จันทร์อีกดวงจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แสงสว่างจากจันทร์สองดวงอาบไล้เฉลียงยามค่ำคืน แม่นั่งนิ่งใต้แสงสกาวนั้นเหมือนรูปสลักหินที่ถูกสาปในเรื่องปรัมปรา

ไม่ผิดจากที่คาดเมื่อเห็นถาดอาหารคงสภาพเดียวกับหลายชั่วโมงก่อน ผมยกมันเข้าไปเก็บในครัว ก่อนหันไปเปิดกล่องไม้ที่บรรจุขนมไหว้พระจันทร์ฝีมือป้าหลี่ หยิบมันออกมาชิ้นหนึ่ง จัดวางลงบนจานแล้วตัดแบ่งเป็นแปดเสี้ยวเพื่อให้กินง่าย พวกเราสองบ้านมักจะแลกขนมไหว้พระจันทร์ให้กันเสมอ ป้าหลี่ทำไส้ลูกบัวอร่อยไม่แพ้ใคร แต่สำหรับผมแล้ว ไส้อู่เหรินของแม่มีรสชาติลุ่มลึกที่สุด ตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่จะตัดขนมไส้ลูกบัวเสี้ยวหนึ่ง และไส้อู่เหรินอีกเสี้ยวหนึ่งให้ผมกินเคียงกับน้ำชาถ้วยเล็ก ผมกินได้ทุกวันไม่มีเบื่อตั้งแต่คืนจันทร์เพ็ญเดือนแปดจนถึงเดือนเก้า

สิ่งเหล่านั้นดำเนินเรื่อยมาอย่างสามัญจนกระทั่งวันที่พ่อจากไปกับพระจันทร์เมื่อสองปีก่อน ผมไม่เคยได้กินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อู่เหรินของแม่อีกเลย

ผมวางจานขนมบนพื้นเฉลียงข้างๆ แม่ และห่มผ้าไหมผืนเล็กคลุมไหล่ท่าน สายลมที่พัดพลิ้วมาทำให้ผมเองยังรู้สึกสะท้านกาย ครั้นลองสัมผัสมือแม่ก็สะดุ้งเมื่อกับพบความเย็นเยียบ

“โหวอี้…” แม้แผ่วเบา แต่ในที่สุดแม่ก็เอ่ยชื่อผม

“แม่ เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ เดี๋ยวผมรินชาอุ่นๆ ให้” ผมรีบพูดตอนที่ยังมีโอกาส “ต่อให้มองพระจันทร์ต่อไปพ่อไม่กลับมาหรอก”

“…พรุ่งนี้เสี่ยวเยว่จะหายไปแล้วใช่ไหม”

นั่นเองผมจึงนึกขึ้นได้ว่าปฏิบัติการทำลายพระจันทร์ดวงใหม่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า น่าขันสิ้นดีที่มันเป็นคืนเดียวกันกับเมื่อสองปีก่อน คืนที่จันทร์ดวงนั้นปรากฏขึ้นค้างฟ้าและพรากพ่อให้หายลับไปกับฟ้ารัตติกาล-ไม่เคยกลับมา เท่าๆ กับที่แม่ก็เริ่มเงียบใบ้ กะพร่องกะแพร่ง ราวกับจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของแม่ถูกช่วงชิงไปพร้อมกันนับตั้งแต่นั้น

 

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในบ่ายวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมปลาย พ่อโทรศัพท์มาหาผมติดต่อกันถึงสามสาย จนผมต้องตัดสินใจพักการสอนและรับสายด้วยสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

พ่อพูดร้อนรน สั่งให้ผมรีบกลับบ้านไปอยู่ข้างแม่ เมื่อพยายามถามเหตุผลก็ได้ยินแต่คำเลี่ยง-ประเดี๋ยวแกก็รู้ข่าว รอการแถลงพร้อมกันทีเดียว

ต่อเมื่อนั่งลงกลางโซฟาที่บ้าน ข้างหนึ่งนั้นคือแม่ที่กำลังตื่นตระหนก ส่วนอีกข้างคือรอยยุบบนโซฟาที่พ่อนั่งเป็นประจำ ไม่นานใบหน้าของพ่อในฐานะนักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติก็ถูกฉายขึ้นบนจอโทรทัศน์ คำแถลงการณ์ของพ่อพร้อมด้วยทีมนักวิจัยประจำสถาบัน ถูกประกาศก้องไปทั่วประเทศ-ไม่เกินสี่เดือนนับจากนี้ ดาวเคราะห์น้อยขนาดราวหนึ่งในแปดของดวงจันทร์จะเคลื่อนตรงมายังโลก และมีโอกาสชนปะทะ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงโลกจะถึงแก่กาลอวสาน ไม่ว่าการปะทะนั้นจะเกิดเหนือผืนดินหรือมหาสมุทร หากมิใช่ฝุ่นธุลีจากผืนดินบดบังท้องฟ้าชั่วนิรันดร์ ก็จะเป็นมหันตภัยสึนามิครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

พ่อแทบไม่ได้กลับบ้านหลังจากนั้นด้วยเหตุที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยับยั้งมหันตภัย บ้านทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยมวลอันซึมเซาสลับกับร้อนรุ่มที่ผันแปรไปตามความรู้สึกของแม่ นานๆ ครั้งพ่อจะโทร.มาหาบ้าง แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกของแม่ให้สงบลง ขณะที่โลกอีกฟากของกำแพงกำลังเคลื่อนหมุนไปด้วยความสิ้นหวังของมวลมนุษยชาติ

มันค่อยๆ เปลี่ยนโฉมไปทีละน้อย จากรอยยิ้มของบรรดาผู้คนที่ผมเคยรู้จักกลับมลายหายกลายเป็นใบหน้าแห่งความหวาดกลัวต่อทุกสิ่ง ทั้งต่ออนาคตในรูปลักษณ์ของดาวเคราะห์น้อยที่กำลังขยับใกล้เข้ามาทุกที และต่ออดีตที่ผ่านวันนานเข้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความหมาย

ครั้งหนึ่งในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์ นักเรียนคนหนึ่งเคยถามผม-เราจะเรียนรู้เรื่องในอดีตไปทำไม ถ้าไม่มีอนาคตให้ก้าวไปหาอีกแล้ว

และนั่นเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนเปิดสอน ก่อนที่รัฐบาลจะออกคำสั่งให้ปิดโรงเรียนรวมถึงสถานที่ราชการชั่วคราว ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นทุกที การเดินขบวนเรียกร้องเกิดขึ้นทุกแห่งหน ป้ายข้อความถูกยกชูไปทั่ว ครั้งหนึ่งหลังกลับจากการเก็บข้าวของที่โรงเรียน ผมได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนลั่นกลางมวลชนคลาคล่ำ

‘พวกเราต้องการมาตรการรับมือกับดาวเคราะห์น้อย รัฐบาลอย่าคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว!’

ข่าวลือที่รัฐบาลและเหล่าชนชั้นนำกำลังวางแผนอพยพไปยังสถานีอวกาศเริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว และนั่นเองที่ทำให้ทั้งประเทศลุกเป็นไฟ

แต่แล้วท่ามกลางความโกลาหลทั้งปวง พ่อก็กลับมาปรากฏตัวที่บ้านโดยไม่บอกกล่าว

 

แม่ที่วันๆ เอาแต่นั่งจ้องมองท้องฟ้าเหม่อลอย กลับมาสดใสมีชีวิตชีวา ท่านโผเข้าครัวร่าเริงเหมือนนกน้อยในสวน แม้ปากยังพร่ำบ่นว่าทำไมกลับมาไม่บอกกล่าว แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าท่านมีความสุขแค่ไหน เย็นนั้นแม่ทำเกี๊ยวไส้เห็ดของโปรดพ่อ พร้อมกับซุปไก่ตุ๋นใส่เยื่อไผ่ โลกทั้งใบในขณะนั้นเหลือเพียงพวกเราสามคนภายในรั้วบ้านอันอบอุ่นปลอดภัย

‘ผมคิดถึงอาหารที่บ้านมากเลย’ พ่อวางตะเกียบบนชามเกลี้ยง

‘ยังเหลือซุปอีกตั้งเยอะ โหวอี้ไปเอาข้าวมาให้พ่อแกที’ แม่ร้องสั่ง

ทั้งที่กำลังลุกขึ้น พ่อกลับรั้งผมไว้แล้วพูดต่อ

‘เรื่องดาวเคราะห์น้อยนั่น…’

แม่นิ่งลง ผมคิดว่าท่านเองก็ทราบดี ที่พ่อกลับมาคราวนี้ต้องมีเหตุผลสำคัญ ประวิงให้ช้าลงได้แต่คงมิอาจหลีกเลี่ยง

‘ผมและทีมนักวิจัยสถาบันดาราศาสตร์คุยกับอีกหลายประเทศแล้ว ทางเดียวที่จะหยุดดาวเคราะห์น้อยได้ คือการจุดระเบิดนิวเคลียร์ที่พื้นผิวดาวเพื่อเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนตัวของมัน ระเบิดจะถูกบรรจุไปกับยานขนส่งซึ่งต้องขับเคลื่อนไปหาดาวเคราะห์น้อยอย่างแม่นยำ’

‘ประเทศเราเป็นคนสร้างยานเหรอครับ’ ผมถาม

‘เราร่วมกับอีกสองสามประเทศน่ะ แต่ยานจะถูกส่งขึ้นจากฐานปล่อยที่รัสเซีย’

‘แล้วคุณต้องไปดูด้วยไหม’ แม่ถามบ้าง

พ่อช้าลงเล็กน้อย นิ่งคิดก่อนพูดตอบ ‘…อย่างที่ผมบอกว่าการขับเคลื่อนยานขนส่งไปที่ดาวเคราะห์น้อยต้องแม่นยำอย่างมาก การคำนวณพิกัดปล่อยระเบิดต้องถูกต้องที่สุดเพื่อผลักดาวเคราะห์น้อยไปในทิศทางที่เหมาะสม… ใช่แล้ว ผมต้องไปรัสเซีย ไม่ใช่เพื่อสังเกตการณ์ แต่ผมต้องขึ้นไปกับยานด้วย’

ชีวิตชีวาอันตรธานหายจากใบหน้าของแม่ พ่อวางสัมผัสบนมือแม่แผ่วเบา

‘ถ้าภารกิจเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ประเทศเราจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้กอบกู้โลก’

 

พวกเราเดินทางไปส่งพ่อที่รัสเซีย ผมกับแม่และบรรดาญาติผู้ร่วมภารกิจนั่งอยู่ในหอสังเกตการณ์ห่างจากฐานปล่อยกระสวยอวกาศเกือบหนึ่งกิโลเมตร กลุ่มนักบินอวกาศห้าคนลงจากรถบัสและเตรียมตัวขึ้นกระสวย ทุกคนสวมชุดนักบินสีขาวตัวพองๆ มองจากระยะห่างเท่านั้น ทำให้แต่ละคนดูเหมือนตัวมาสคอตในสวนสนุก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อคือคนไหน ขณะที่ในใจยังร้อนระอุด้วยความกังวล ครั้นจะถามความรู้สึกแม่ แต่เมื่อหันไปเห็นท่านนั่งกำสองมือแน่นบนหน้าตัก ปากเม้มสนิท ผมก็หลงลืมคำพูดจนหมดสิ้น

หลังกระสวยถูกปล่อยขึ้นสู่ฟากฟ้า และแยกตัวยานขนส่งระเบิดนิวเคลียร์ออกสู่ห้วงอวกาศ การเดินทางไปยังดาวเคราะห์น้อยจะดำเนินต่อไปอีกราวหนึ่งเดือน พวกเรากลับมาที่บ้านและคอยติดตามข่าวทางโทรทัศน์ แม่นั่งอยู่บนโซฟาตัวนั้นเสมอ ข้างๆ รอยยุบซึ่งเป็นที่นั่งประจำของพ่อ

ทุกอย่างยังดูปกติดี จนกระทั่งจวนถึงกำหนดการปล่อยระเบิดลงบนพื้นผิวดาวเคราะห์น้อย ข่าวรายงานว่าระบบควบคุมการปล่อยระเบิดเกิดขัดข้อง

นักบินพยายามซ่อมแซมระบบ ระหว่างนั้น ยานจำเป็นต้องโคจรรอบดาวเคราะห์น้อยที่ยังคงมุ่งหน้าเข้าหาโลกด้วยความเร่ง ตราบเมื่อวนครบหนึ่งรอบการซ่อมแซมยังไม่ลุล่วง และเชื้อเพลิงก็เหลือไม่มากพอให้ยานโคจรกลับมาอยู่ในจุดที่เหมาะสมได้อีกแล้ว นักบินอวกาศทั้งห้าคนในภารกิจตัดสินใจร่วมกันว่าหนทางเดียวที่จะหยุดดาวเคราะห์น้อยได้ คือการขับยานเข้าใกล้พื้นผิวดาวให้มากที่สุด และจุดระเบิดนิวเคลียร์จากด้านในยานเท่านั้น

เหลือเพียงความแหว่งวิ่นของความทรงจำ คลับคล้ายเพียงเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของแม่ กับแสงสว่างวาบเหนือท้องฟ้ายามรัตติกาลที่สาดผ่านบานหน้าต่าง หลังทุกสิ่งมืดดับ ดาวเคราะห์น้อยที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกคืนวันก็พลันหยุดนิ่ง

การจุดระเบิดที่ผิดจากการคำนวณมิได้ผลักมันสู่ทิศทางอื่น เท่าๆ กับที่มิได้มุ่งเข้าหาโลก กลับกลายเป็นจันทร์ดวงใหม่นิ่งค้างฟ้าเคียงคู่จันทร์ดวงเดิม

คืนนั้นตรงกับวันไหว้พระจันทร์พอดิบพอดี เป็นคืนที่โลกรอดพ้นจากมหันตภัย แต่ก็เป็นคืนเดียวกันที่รอยยุบบนโซฟารอยนั้นจะไม่มีวันคืนตัวสู่สภาพเดิมอีก

เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญชื่อนักบินอวกาศผู้หาญกล้าทั้งห้าคนดังก้องไปทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะพ่อ-นักบินอวกาศเพียงหนึ่งเดียวที่มีสายเลือดเดียวกับคนทั้งชาติ หนึ่งเดือนผันผ่าน อนุสาวรีย์ทรงกลมสลักชื่อของพ่อ ผู้สละชีพเพื่อมนุษยชาติถูกตั้งขึ้นใกล้จัตุรัสกลางเมืองหลวง สถานที่ซึ่งประวัติศาสตร์แห่งการหลั่งเลือดเมื่อครั้งอดีตถูกลบเลือนหมดสิ้น

แม่ไปที่นั่นสัปดาห์ละหน นำเกี๊ยวไส้เห็ดใส่กล่องข้าวไปนั่งกินตามลำพัง เสมือนดั่งมื้ออาหารครั้งสุดท้ายของพวกเราสามคนยังคงดำเนินต่อไปในความทรงจำ

 

นับจากวันนั้น ความตื่นตัวด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีค่อยๆ เติบโตขึ้นตามลำดับ พลเมืองหนุ่มสาวพากันเชิดชูความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ ประกาศว่าเรานั้นนอกจากมิได้ด้อยกว่าใครในโลก แต่ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้เทคโนโลยีกอบกู้วิกฤตการณ์ของโลกมาแล้ว ดาวเคราะห์น้อยที่นิ่งค้างอยู่กลางฟ้าข้างพระจันทร์ดวงนั้นได้รับการขนานนามใหม่ว่า ‘เสี่ยวเยว่’ จันทร์ดวงน้อย-เปรียบเสมือนหมุดหมายสำคัญทางเทคโนโลยีอวกาศของยุคสมัย และมันคงเป็นเช่นนั้นต่อไปหากไม่มีคำท้วงติงจากบรรดาผู้อาวุโสในประเทศ

‘คนที่เสียสละก็น่ายกย่องอยู่หรอก แต่ปล่อยให้มีพระจันทร์สองดวงแบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ’

‘พวกเราจะไหว้พระจันทร์ได้อย่างไร ถ้ามีพระจันทร์ตั้งสองดวง’

‘การบวงสรวงเทพเทียนกงเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ มีพระจันทร์ปลอมโผล่มา มันก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วซิ’

‘เราต้องการให้พระจันทร์กลับมาศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม ได้โปรดทำลายพระจันทร์จอมปลอมเสีย’

‘เหล่าผู้สละชีพจะรู้สึกอย่างไรที่พระจันทร์ปลอมค้างเติ่งอยู่แบบนั้น ทำไมไม่ทำลายมันตามเจตนารมณ์สุดท้ายของพวกเขา’

ฟากคนหนุ่มสาวเองก็ตอบโต้ว่าความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์รุดหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำไมยังเชื่อเรื่องล้าหลังอยู่ได้ จนวันที่ดาราหนุ่มคนหนึ่งให้การสัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ว่า ดวงจันทร์ที่ใครต่อใครไหว้กันทุกปีนั่นก็เป็นดาวบริวารของโลก หาใช่เทพเจ้าที่ไหน ดั่งโหมพัดเปลวไฟให้ลุกโชน จากจุดนั้นที่ทำให้กรณีพิพาทบานปลายจนยากจะควบคุม การชุมนุมประท้วงก่อตัวขึ้นอีกคราว ราวกับภาพความโกลาหลเมื่อครั้งเสี่ยวเยว่เคลื่อนเข้าหาโลกถูกฉายซ้ำ

แต่ครั้งนี้หาใช่การชุมนุมเรียกร้องของประชาชนต่อรัฐ แต่เป็นระหว่างประชาชนกับประชาชน ความเชื่อเก่ากับอนาคตใหม่ปะทะกันอย่างเดือดดาล

นั่นเป็นเช้ามืดวันไหว้พระจันทร์ หนึ่งปีเต็มหลังจากเสี่ยวเยว่หยุดนิ่งบนท้องฟ้า

กลุ่มผู้สนับสนุนให้ทำลายเสี่ยวเยว่มาชุมนุมกันที่หน้าอนุสาวรีย์ทรงกลม เหนือชื่อของพ่อที่ถูกสลักบนอนุสาวรีย์ถูกป้ายข้อความพาดทับ ‘ทวงคืนความศักดิ์สิทธิ์ของพระจันทร์’

ไม่นานนักบรรดาผู้ยึดมั่นในวิทยาศาสตร์ก็ก้าวสู่จัตุรัสบ้าง จากการโต้คารมระหว่างสองฟากฝั่งเริ่มไต่ระดับสู่การใช้กำลัง จากข้าวของที่หยิบฉวยให้ขว้างปาได้จากฝั่งหนึ่ง ถูกโถมกลับด้วยอาวุธของอีกฝั่ง เหตุจลาจลรุนแรงต่อเนื่องจนมืดค่ำ

ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งล้มเหลวจากการระงับเหตุด้วยวิธีเจรจา ตัดสินใจยกระดับด้วยวิธีแข็งกร้าว คืนนั้นมีผู้เสียชีวิตจากการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมด้วยกันเองหลายราย

แต่ผู้เสียชีวิตจากการกระทำของรัฐนั้นมีมากกว่าราวเท่าตัว และเกือบทั้งหมดเป็นคนหนุ่มสาวที่ปากยังพร่ำตะโกนหาความหวังแห่งอนาคตกาลก่อนสิ้นใจ

บรรยากาศในโรงเรียนเปลี่ยนไปมาก พวกนักเรียนช่วยกันเขียนข้อความรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในการชุมนุม ซึ่งทำได้เพียงไม่นานก็ถูกฝ่ายบริหารเรียกเก็บจนหมด ผมและครูคนอื่นๆ ได้รับคำสั่งห้ามแสดงทัศนะหรือจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

และนั่นเองที่ทำให้ผมถูกประณามจากพวกนักเรียนว่าเป็นพวกเพิกเฉยทางการเมือง

 

‘เทพเจ้าเรอะ ไม่มีหรอก’ แม่ตอบ เมื่อผมตัดสินใจถามความเห็น ‘ข้างบนนั้นไม่มีเทพเจ้าหรอก มีแต่ดาวบ้าๆ ดวงหนึ่งที่ดันโคจรเข้ามา จนพ่อแกต้องเอาชีวิตไปทิ้ง’

หลายเดือนผันผ่าน ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยังคงคุกรุ่น รัฐบาลของเราก็เสนอญัตติต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติให้ตั้งโครงการทำลายเสี่ยวเยว่ โดยอ้างเหตุผลจากการวิจัย-แรงโน้มถ่วงของเสี่ยวเยว่ที่กระทำกับดวงจันทร์และโลกมีผลต่อปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง และยังกระทบกับพฤติกรรมของสัตว์น้ำบางสายพันธุ์

แล้วคำตัดสินให้ทำลายเสี่ยวเยว่ หมุดหมายสำคัญแห่งอนาคตใหม่ก็ถูกประกาศก้อง

ง่ายดายเพียงนั้น แม้คำตัดสินจากที่ประชุมจะตั้งอยู่บนจุดกึ่งกลางพอดิบพอดี และแม้เสี่ยวเยว่จะถูกลบหาย แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะยังคงรุดหน้าต่อไป ถึงกระนั้นความยุติธรรมกลับไม่เคยถูกมอบคืนแก่ผู้ตาย มือเปื้อนเลือดทั้งหลายไม่เคยถูกพิพากษา ความตายไร้เสียงของบรรดาผู้ยืนหยัดปกป้องอนาคตที่ตนใฝ่หายังคงเงียบงันจวบจนปัจจุบัน

หลังจบแถลงการณ์เปิดโครงการทำลายเสี่ยวเยว่ของรัฐบาล ขั้นตอนทำลายก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หนนี้เมื่อเสี่ยวเยว่ไม่ได้โคจรด้วยอัตราเร่ง ปฏิบัติการจึงไม่ยากเท่ากับครั้งที่ผ่านมา พื้นผิวของเสี่ยวเยว่ด้านหนึ่งจะถูกติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์ และฟากตรงข้ามติดตั้งด้วยยานชักลากไร้พลขับสิบแปดลำ เส้นรอบวงไม่เกินหนึ่งในแปดของดวงจันทร์ ทำให้เสี่ยวเยว่มีขนาดเล็กพอที่ยานเหล่านั้นจะลากมันออกไปได้ด้วยแรงสนับสนุนจากนิวเคลียร์ กระบวนการชักลากจะดำเนินต่อไปราวเก้าเดือน ต่อเมื่อห่างจากโลกมากพอ ยานชักลากทั้งสิบแปดลำซึ่งบรรจุนิวเคลียร์ปริมาณมหาศาลจะถูกจุดระเบิดขึ้นพร้อมกัน เสี่ยวเยว่จะกลายเป็นเถ้าธุลีและหายไปจากจักรวาลตลอดกาล

และกำหนดการจุดระเบิดที่ว่านั้น ตรงกับวันไหว้พระจันทร์ สองปีหลังความตายของพ่อพอดี

 

“…โหวอี้” เสียงเรียกของแม่พาผมกลับมาจากภวังค์ ครั้นรู้สึกตัว ทั่วสรรพางค์กายก็สั่นสะท้านจากอากาศหนาวเหน็บ ผมหันหาแม่ที่ยังคงนั่งนิ่งใต้ผ้าคลุมไหล่ผืนนั้น

“เข้าไปนั่งข้างในเถอะแม่ คืนนี้หนาวเหลือเกิน” ผมคว้าจานขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมา และเตรียมจะลุกยืน

“แกรู้ไหมว่าขนมไหว้พระจันทร์สำคัญยังไง”

ผมรู้ดี บ่อยครั้งยังเคยเล่าให้นักเรียนฟังในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตที่ชาวบ้านอยู่ใต้การควบคุมของเหล่าทหารต่างถิ่น “…มันเคยถูกใช้บรรจุสารลับ จนทำให้เราปลดแอกจากเงื้อมมือของอำนาจได้สำเร็จ”

ผมเห็นรอยยิ้มของแม่ปรากฏขึ้นบนดวงหน้า แต่เมื่อมองลึกลงในแววตา ผมกลับไม่เห็นชีวิตในนั้น

“แม่เพลียเหลือเกิน คงอยู่บอกลาพ่อแกไม่ไหว”

แม่ลุกขึ้นยืนเชื่องช้าแล้วค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในตัวบ้าน ทั้งเฉลียงเหลือเพียงผมที่ยังคงนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ตามลำพัง ตราบแหงนมองขึ้นฟ้าก็เห็นเสี่ยวเยว่มีขนาดเล็กลงกว่าชั่วยามก่อนนัก มันเล็กจนแทบกลืนหายไปกับหมู่มวลดวงดาวพราวฟ้า ตามกำหนดการของรัฐบาล ไม่เกินคืนนี้มันคงถูกทำลายลง

ไม่รู้หรอกว่ามากมายสักเท่าไร พันล้าน แสนล้าน หรือล้านล้านครั้งที่ดวงดาวในจักรวาลเคยดับสูญ เท่าๆ กับที่ผมเองก็ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าชีวิตของแม่จะมลายหาย เงียบเชียบ ก่อนแสงตะวันใหม่ในวันรุ่งขึ้นจะเดินทางมาถึงโลกเสียด้วยซ้ำ

แต่แสงตะวันเดียวกันนั้น คงจะอาบไล้อนุสาวรีย์ทรงกลม-หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่แสดงถึงการมีอยู่จริงของเสี่ยวเยว่ ดวงดาวแห่งอนาคตใหม่ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความศักดิ์สิทธิ์ชั่วกาลให้ส่องสว่างในท้ายสุด •