ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
วิวัฒนาการของยาเสพติดพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จากที่เคยใช้สารสกัดจากพืชธรรมชาติล้วนๆ ก็กลายมาเป็นใช้สารเคมีมาสกัดแยกจนกลายเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ๆ
ซ้ำยังมีค็อกเทลยาเสพติด ที่เป็นการนำยาเสพติดหลายชนิดมาผสมรวมกันเพื่อเพิ่มความแรง
ล่าสุดก็เป็นกรณีของ ‘ยาอีลาบูบู้’ ที่ชื่อดูน่ารัก แต่ฤทธิ์แรงกว่าเดิมหลายเท่า
จับร้านโอเกะเจอ ‘ยาอีลาบูบู้’
‘ยาอีลาบูบู้’ กลายเป็นข่าวให้สังคมได้รับรู้หลังเมื่อกลางดึกวันที่ 25 กรกฎาคม นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย สั่งการให้ พ.ต.อ.นันท์จักร์ กนกนพวัชร์ ผกก.สภ.บ้านดู่ นายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย บูรณาการกำลัง สภ.บ้านดู่ ฝ่ายปกครองสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงราย และ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย เข้าปิดล้อมตรวจค้นร้านคาราโอเกะชื่อ ‘ดาวล้อมเดือน’ ริมถนนเลี่ยงเมืองเชียงราย หมู่ 10 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย
เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากองค์การต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ ว่าร้านดังกล่าวมีการลักลอบนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มานั่งปรนนิบัติลูกค้าโดยสามารถกอด จูบ ลูบ คลำเด็กภายในร้านได้ อันเข้าข่ายเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ประเภทแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น ทั้งยังมีการจำหน่าย-ใช้ยาเสพติดภายในร้าน และเปิดให้บริการจนถึงเช้า
ผลการตรวจค้นพบมีเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ภายในร้านจริงตามที่ได้รับแจ้ง โดยมีผู้มาใช้บริการประมาณ 6 คน สามารถจับกุมนายธนธรณ์ สงวนนามสกุล อายุ 51 ปี ผู้ดูแลร้าน นายพลวัตร สงวนนามสกุล อายุ 31ปี ผู้มาใช้บริการ พบเคตามีน 2 ซอง น้ำหนัก 1.6 กรัม และเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1(เมตแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย และนายอัครวิทย์ สงวนนามสกุล อายุ 39 ปี ผู้มาใช้บริการ พบยาเคตามีน 6 ซอง น้ำหนัก 5.15 กรัม และยาอี จำนวน 5 เม็ด
ที่สำคัญ ยาอีที่พบเป็นยาอีรูปแบบใหม่ ปั๊มเป็นตัวตุ๊กตาอาร์ตทอยดัง ‘ลาบูบู้’ ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็ยอมรับว่าเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก
พ.ต.อ.นันท์จักร์เปิดเผยว่า ยาอีลาบูบู้ที่ตรวจยึดได้ทางผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า เพิ่งซื้อมาเป็นครั้งแรกเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้ก็มียาอีรูปแบบสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส ที่ผ่านมา มีลักษณะเป็นโลโก้ Louis Vuitton รูปหัวใจ การ์ตูนชินจัง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมในช่วงนั้นๆ
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ยอมรับว่าปัจจุบันนี้ยาเสพติดมีการคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ เสมอ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องสืบสวนขยายผลที่มาและรูปแบบให้เท่าทันต่อสถานการณ์ ส่วนตัวไม่เคยเห็นรูปแบบนี้มาก่อน ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล
ต่อมา ค่ำวันที่ 27 กรกฎาคม ตำรวจควบคุมตัวนายณัฐชัย หรือเอิบ อายุ 42 ปี นายอ๋า อายุ 42 ปี น.ส.หนึ่ง อายุ 28 ปี และ น.ส.พลอย อายุ 27 ปี มาสอบสวนหลังขยายผลจนทราบว่ายาอีลาบูบู้ที่พบในร้านคาราโอเกะ ผู้ต้องหาซื้อมาจาก น.ส.พลอย โดยติดตามตัวได้ที่บ้านหลังหนึ่งพื้นที่หมู่ 2 ต.บ้านดู่
นอกจากนี้ ยังพบพรรคพวกของ น.ส.พลอยในห้องอีก 3 คน คือผู้ต้องหาทั้งหมดดังกล่าว รวมทั้งพบยาอีลาบูบู้อีกจำนวน 600 เม็ด เคตามีนน้ำหนัก 169.2 กรัม คอลลาเจนหรือ Happy Water จำนวน 11 ซอง
ผู้ต้องหาทั้งหมดรับว่าสั่งซื้อยาอีลาบูบู้มาจากผู้ขายที่กรุงเทพฯ โดยส่งทางไปรษณีย์ ต้นทุนเม็ดละ 200 บาท นำมาขายต่อเม็ดละ 800 บาท และซื้อ Happy Water มาซองละ 800 บาท ขายต่อซองละ 2,500 บาท
โดยแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่กันสั่งซื้อ รับของ ติดต่อลูกค้า ส่งขาย ฯลฯ เมื่อได้ของกลางมาก็จะนำไปขายให้ลูกค้าตามสถานบันเทิงต่างๆ ใน จ.เชียงราย
เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยึดทรัพย์ของทั้งหมด มีทั้งรถยนต์เก๋ง รถจักรยานยนต์ เงินในบัญชีธนาคาร ฯลฯ มูลค่ารวมประมาณ 1 ล้านบาท และควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า, ยาอี) โดยการกระทำเพื่อการค้าโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (เคตามีน) เพื่อการค้าโดยผิดกฎหมาย”
เปิดส่วนผสมสุดอันตราย
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. เปิดเผยว่า นอกจากยาอีที่พบในพื้นที่ จ.เชียงรายแล้ว ที่ผ่านมา พิสูจน์หลักฐานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พฐ.จว.พระนครศรีอยุธยา) ได้รับมอบวัตถุพยานที่เป็นเม็ดสีเขียวและสีฟ้ารูปลาบูบู้ จากพนักงานสอบสวน สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 3 เม็ด เป็นสีเขียว 1 เม็ด สีฟ้า 2 เม็ด ตรวจเบื้องต้นแล้วพบว่าเป็นยาอี ส่วนพิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ต (พฐ.จว.ภูเก็ต) ได้รับมอบวัตถุพยานที่เป็นเม็ดรูปลาบูบู้ จำนวน 2 เม็ด เป็นสีเขียว 1 เม็ด และสีฟ้า 1 เม็ด ผลทดสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นยาอีเช่นเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ระบุถึงผลการตรวจสอบส่วนผสมของยาอีลาบูบู้ว่า ถือเป็นสูตรใหม่ ที่พบเป็นครั้งแรกโดยการผสมโคเคนเข้าไปด้วย เชื่อว่าเป็นการผสมขึ้นใหม่ในไทย เพื่อเพิ่มความรุนแรงของยาและเพิ่มราคาการซื้อขาย
โดยทั่วไปที่พบ ยาอีจะมีส่วนผสมของเอกซ์ตาซี ร้อย 18 ผสมกับกาเฟอีนและแป้ง ซึ่งก็ออกฤทธิ์รุนแรงมากกว่ายาบ้าถึง 10 เท่า ดังนั้น ตัวที่ผสมโคเคนเข้าไปในปริมาณขนาดนี้ อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ เพราะผู้เสพจะไม่รู้ว่ายามีส่วนผสมจากสารใดบ้างและผสมมาในปริมาณเท่าใด
“พิษของยาอีทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพและได้ยินเสียงหลอน หากรับยาเกินขนาดจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อเกร็งตัว และมีอาการรุนแรงถึงขั้นเกิดอาการชักหรือหมดสติ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้”
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ยาอีและโคเคนไม่ได้มีแหล่งผลิตในฝั่งเพื่อนบ้าน แต่เป็นการลักลอบนำเข้ามาจากฝั่งยุโรปและเป็นที่นิยมในฝั่งยุโรปด้วยเช่นกัน ในประเทศไทยพบการใช้เฉพาะกลุ่ม และควบคุมได้ ไม่ได้แพร่ระบาดเหมือนยาบ้า
โดยในอดีตพบนิยมใช้ในสถานบันเทิง แต่เมื่อเกิดการขยายเวลาเปิดสถานบริการในพื้นที่โซนนิ่ง เจ้าหน้าที่เข้ากวดขันเข้มงวดมากขึ้น ทำให้พบว่ากลุ่มผู้ใช้จะเปลี่ยนสถานที่ โดยการเช่าบ้านหรือ เช่าพูลวิลล่า จัดปาร์ตี้สังสรรค์เพื่อเสพยาเสพติด
ด้าน นพ.ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) เป็นยาเสพติดตัวเดียวกัน มีทั้งแบบแคปซูลและเม็ดยาสีต่างๆ แพร่ระบาดในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน เมื่อเสพยาอีเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ภายใน 45 นาที และฤทธิ์ของยาจะอยู่ในร่างกายได้นาน 6-8 ชั่วโมง โดยจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจะหลอนประสาทอย่างรุนแรง ผู้เสพจะรู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง การได้ยินเสียง และการมองเห็นแสงสีต่างๆ ผิดไปจากความเป็นจริง เคลิบเคลิ้ม รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ อาจเป็นสาเหตุของการถูกคุกคามทางเพศ
การคิดค้นสูตรเพื่อสร้างเป็นยาเสพติดตัวใหม่ๆ ขึ้นมาไม่ใช่เป็นครั้งแรก หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงมกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบชายอายุประมาณ 20 ปี เสียชีวิตปริศนาในบ้านพักในซอยเจริญราษฎร์ 7 แยก 7-20 ย่านพระราม 3 ไล่เลี่ยกันพบเหตุหญิง 1 คนเสียชีวิตในซอยรัชดาภิเษก 18 ต่อมาพบผู้เสียชีวิตในพื้นที่ย่านเจริญราษฎร์ 7 แยก 4 อีก 1 คน ซึ่งพบอุปกรณ์การเสพและยาเสพติดชนิดผงสีขาวที่ยังไม่ทราบว่าคืออะไรในที่เกิดเหตุ ต่อมาก็พบเสียชีวิตอีกคนในพื้นที่ย่านซอยพระราม 3 แยกย่อย 22 ถัดมาไม่นานก็รับแจ้งมีผู้เสียชีวิต 2 คน ในซอยจันทร์ 31 และเสียชีวิตอีก 1 คน ในพื้นที่ลุมพินี
นอกจากทั้ง 7 รายข้างต้น พบว่าเพียง 5 วันมีผู้เสียชีวิตจากยามรณะนี้ถึง 10 คน อาการสาหัสอีก 14 ราย
ขณะที่การตรวจสอบส่วนผสมของผงปริศนาที่พบ ปรากฏว่าเป็นการผสมสารเสพติดหลายชนิด เช่น ยาอี เมตแอมเฟตามีน สารไดอาซีแพม กาเฟอีน และทาร์มาดอนหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทผสมกัน และนำมาชงกับน้ำร้อนหรือผสมกับน้ำหวานดื่มกินจึงเรียกว่า ‘ยาเคนมผง’
โดยเมื่อดื่มเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทำให้เคลิบเคลิ้ม สนุกสนาน ตื่นตัว คึกคัก แต่เมื่อเสพร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็อาจเสริมฤทธิ์จนเสียชีวิตได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เสพ
กรณีของยาเคนมผง ตำรวจขยายผลจนพบเบาะแสว่า มีนายโช วาย เชิน หรือฉายาลูแปง สัญชาติไต้หวัน ผสมออกมาจำหน่าย ภายในคอนโดฯ แห่งหนึ่ง ย่านอโศกมนตรี โดยผู้ต้องหารายนี้จะรู้กันในไต้หวันว่า เป็นคนทำเคนมผง ส่งขายให้ลูกค้าทั่วกรุงเทพฯ ใช้วิธีซื้อขายยาเสพติดจากหลายประเทศ นำมาผสมและขายผ่านดาร์กเว็บ
นอกจากนี้ ยังมีแก๊งวัยรุ่นชื่อ มิคาโดะ ที่เริ่มทำเคนมผงครั้งแรกช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เพื่อเสพและปาร์ตี้กันในกลุ่ม และนำมาขายให้กลุ่มวัยรุ่นในย่านสายไหม โดยติดตามไปจับกุมได้หลายราย
มีตัวอย่างมาแล้วจากยาเคนมสด สูตรมรณะ กรณีของยาอีลาบูบู้ ที่ ป.ป.ส.ระบุว่าผลิตในประเทศ ตำรวจคงต้องเร่งตามแกะรอยกวาดล้างเสียให้สิ้นซาก
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022