วารีรยา สุขเกษม ฝันไกลที่คนไทยหวังให้ไปถึง

โอลิมปิกเกมส์ “ปารีส 2024” ผ่านมาแล้วระยะหนึ่ง ผลงานของทัพนักกีฬาไทยก็มีที่ผลงานดีบ้าง ผลงานไม่ดีบ้าง

แต่โดยรวมๆ ก็ต้องยอมรับว่าช่วงแรกอาจจะเหงาๆ สักหน่อย เพราะกีฬาที่กองเชียร์ชาวไทยจะได้ลุ้นจริงๆ ต้องไปรอช่วงหลังๆ โดยเฉพาะความหวังของชาวไทย เช่น “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่ลุ้นเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองได้ถึง 2 สมัย

รวมถึงจะมีพวกมวยสากลในรอบลึกๆ หรือแม้แต่ยกน้ำหนัก กับกอล์ฟ เองก็พอให้กองเชียร์ไทยได้ลุ้นเหรียญรางวัลอยู่บ้าง

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก คนที่ดูจะได้รับความสนใจและได้รับกำลังใจอย่างล้นหลาม ก็คงหนีไม่พ้นน้องสาวที่อายุน้อยที่สุดในของทัพนักกีฬาไทยอย่าง “เอสที” วารีรยา สุขเกษม ผู้สร้างประวัติศาสตร์มาโอลิมปิกเกมส์ด้วยวัยเพียง 12 ปีเท่านั้น

และด้วยความที่เป็นนักกีฬาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย จึงทำให้เธอได้รับเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เป็นตัวแทนนักกีฬาถือธงในพิธีเปิดการแข่งขัน ร่วมกับ “บิว” ภูริพล บุญสอน ลมกรดทีมชาติไทยอีกด้วย

“มันสนุกมากๆ เลย แล้วก็มีฝนตกลงมาด้วยเลยทำให้สนุกสุดสุด มันมีความสุขมากๆ ที่ได้เป็นตัวแทนถือธงให้ทัพนักกีฬาไทย ตอนแรกก็แอบคิดว่ามันจะหนัก แต่พอถือจริงๆ ก็ไม่ได้หนักขนาดนั้นเลย”

นอกจากนี้ ลองลงรายละเอียดดูแล้ว น้องเอสที เพิ่งเริ่มเล่นกีฬาสเก๊ตบอร์ดมาเพียง 5 ปี แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีพรสวรรค์มากทีเดียว ที่ใช้เวลาแค่ 5 ปี ก็สามารถมาโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกได้แล้ว

 

นอกเหนือจากพรสวรรค์แล้ว สิ่งที่คอยผลักดันอย่างมากก็คือครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่ที่ชื่นชอบกีฬาสเก๊ตบอร์ด แต่ไม่มีโอกาสได้เล่นด้วยตัวเอง จึงนำมาให้ลูกเล่นแทน ก่อนที่ลูกสาวจะอยากสานฝันคุณแม่จึงตั้งใจฝึกฝนดู

“รู้สึกชอบกีฬานี้แล้ว เพราะมันเป็นกีฬาผาดโผน ไม่มีผู้หญิงเล่นเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชายทั้งนั้น เลยอยากจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่เล่นกีฬานี้ และอยากทำให้ทุกคนรู้จักว่ากีฬานี้ไม่ใช่สำหรับผู้ชายเสมอไป”

ในขณะที่ครอบครัวนั้นสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งลงทุนอุปกรณ์คุณภาพสูง และยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะของเธอ โดยการหาสังคมนักกีฬาและส่งเอสทีเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ อย่างสม่ำเสมอด้วย

“มันยาก ยากมากๆ เลยเพราะว่ามันต้องทุ่มเท เสียเงินเยอะ ช่วงแรกๆ ที่เริ่มเล่นตระเวณแข่ง ก็ยังมีบางครั้งที่ทำได้ดี บางครั้งทำได้ไม่ดีเท่าไหร่” เอสทีกล่าว

ขณะเดียวกันข้อสำคัญเลยคือเอสทีไม่มีโค้ชส่วนตัว ใช้วิธีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้วยตนเอง ผ่านประสบการณ์จริงในการแข่งขันและการฝึกซ้อม ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่จำเป็น ความรัก-การสนับสนุน และความทุ่มเทของนักกีฬากับครอบครัว จะสามารถช่วยให้นักกีฬาประสบความสำเร็จได้

 

แม้ว่าผลงานในโอลิมปิกเกมส์ที่ออกมาอาจจะไม่ผ่านเข้ารอบชิง จบอันดับ 17 จาก 22 คน แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นักกับสาวน้อยวัยเพียง 12 ปีที่มาโอลิมปิกเกมส์หนแรกเท่านั้น

“หนูตื่นเต้นมากๆ การได้ยืนในสนามระดับโลก รายการที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเสียงเชียร์เต็มไปหมด ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตการเป็นนักกีฬา ไม่เคยสั่นขนาดนี้มาก่อนเลย” เจ้าหนูวารีรยากล่าวไว้หลังแข่งขันจบลง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้จากสายตาตัวเองผ่านการเล่นของน้องในสนามก็คือความมุ่งมั่นที่แม้จะมีความประหม่าหรือตื่นเต้นอยู่ แต่ก็ยังเห็นได้ว่าน้องมุ่งมั่น

ขณะเดียวกัน น้องเอสทียังแฝงความเป็นเด็กเอาไว้ภายใต้นักกีฬา เพราะหลังจากที่เธอทำทริกในรอบที่ 2 สำเร็จอย่างงดงาม หลังพลาดหนแรกไป ได้เห็นน้องเหมือนปลดปล่อยความรู้สึกออกมาก่อนจะมายิ้มดีใจกับคุณแม่ที่นั่งข้างสนาม

สมกับวัยของน้องจริงๆ

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ได้พูดคุยกันหลังจบการแข่งขัน ทำให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีความพิเศษอยู่ในตัวไม่น้อยเลย

จุดที่สำคัญที่สุดคือเจ้าตัวกล้าพูดออกมาเต็มปากว่าครั้งหน้าจะมาเอาเหรียญรางวัลกลับไปให้คนไทยให้ได้ ไม่ว่าจะเหรียญใดก็ตาม

อาจจะมีบางคนที่มองว่าเด็กคนนี้พูดอะไรแบบไม่คิดหรือเปล่า การจะคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

แต่ก็เพราะเป็นเด็ก ทำให้เขามีความใสบริสุทธิ์อยู่ในตัว คำพูดที่เขาพูดออกมานั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงนั่นเอง ดังนั้น ในมุมของนักกีฬาต้องบอกว่านี่เป็นความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ว่าแล้วก็แอบคิดไม่ได้ว่าตอนตัวเองอายุ 12 ปี ตอนนั้นตัวเองทำอะไรอยู่บ้าง…

เพราะพอมานั่งย้อนดูตัวเองแล้ว ตอนอายุ 12 ยังเป็นเด็กนั่งดูการ์ตูนหรือเล่นเกม ใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ไปเท่านั้น

แต่น้องเอสที ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนนักกีฬาไทย ลงแข่งขันในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างโอลิมปิกเกมส์แบบนี้ มีสายตาผู้ชมเป็นหลักล้านทั่วโลกจับจ้องอยู่ แถมยังทำผลงานได้น่าประทับใจ ผู้ชมในสนามเองก็ให้กำลังใจเธออย่างมาก เพราะมีการประกาศว่าเจ้าตัวอายุแค่ 12 เท่านั้น (แม้จะมีคนอายุน้อยกว่าก็ตาม)

ขณะที่แม้จะผิดหวังแค่ไหน แต่เอสทีก็ยังมีกำลังใจที่ดีจากครอบครัว ทั้งพ่อและแม่ที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งหน้าก็ค่อยกลับมาลุยกันใหม่

ก็หวังว่าโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้จะนับเป็นก้าวแรกที่ดีสำหรับสาวน้อยวัย 12 ปีคนนี้ เพื่อที่อีก 4 ปีข้างหน้า ใน โอลิมปิกเกมส์ 2028 ที่สหรัฐอเมริกา เธอจะกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฝีมือพัฒนาขึ้น

แล้วนำเหรียญรางวัลกลับไปฝากคนไทยอย่างที่หวังเอาไว้ได้จริงๆ •

 

เขย่าสนาม | Stivie Toon

[email protected]