ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
เกี่ยวกับกระแสคลื่น การปรับตัวครั้งใหม่ เครือข่ายธุรกิจใหญ่ไทย
ภาพอันเชื่อมโยงกัน โดยจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สะท้อนกระแสและแนวโน้มบางมิติ เป็นปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมธุรกิจไทยที่น่าติดตาม
จากกรณีใหญ่ เมื่อบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF (ชื่อย่อในตลาดหุ้น) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH รายงานตลาดหุ้นไทย ว่าด้วยแผนการควบรวมกิจการกัน (16 กรกฎาคม 2567)
อีก 2 วันถัดมา (18 กรกฎาคม 2567) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ Thai Bev ได้รายงานต่อตลาดหุ้นสิงคโปร์ (Singapore Exchange Limited -SGX) ว่าด้วยดีลกิจการเครือทีซีซี ในแผนการแลกหุ้น (Share Swap Agreement) เกี่ยวข้องกับอีก 2 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ -Fraser and Neave Limited หรือ F&N และ Frasers Property Limited หรือ FPL
มีบางมิติพาดพิง อ้างอิงข้อมูลสื่อระดับโลก (www.forbes.com) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าด้วยโฉมหน้าผู้มั่งคั่งไทย ในทำเนียบ Thailand’s 50 Richest 2024 จากรณี สารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้นำ GULF ผู้ร่ำรวย อยู่ในอันดับ 5 ถึง เจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้นำกลุ่มทีซีซี ผู้ร่ำรวยอันดับ 3 ด้วยความมั่งคั่งระดับ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากเทียบเคียงผู้นำกับธุรกิจในเครือข่าย เจริญ สิริวัฒนภักดี กับกลุ่มทีซีซี ซึ่งมีสินทรัพย์สำคัญอยู่ในสิงคโปร์ด้วย สะท้อนผ่านดัชนีความมั่งคั่งส่วนตัวซึ่งนำเสนอไว้ ในช่วงราว 2 ทศวรรษมานี้ แสดงให้เห็นภาพเพียงรักษาระดับเดิมไว้ แม้ในช่วงเวลาดังกล่าว มีดีลมากมาย มีการซื้อกิจการเข้ามาในเครือข่าย ขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคอย่างจริงจังด้วย
โดยเฉพาะปีล่าสุด ความมั่งคั่งได้ลดลงจากปีก่อนหน้าพอสมควร
ในตอนนี้ ความเชื่อมโยงยังไม่สำคัญ เท่ากับภาพที่เป็นไปอย่างจริงจัง มิใช่เพียงเห็นอย่างผ่านๆ
ว่าเฉพาะดีล Thai Bev ข้างต้น มีสาระสำคัญอยู่ที่ Thai Bev เพิ่มการถือครองหุ้นใน F&N ให้มีสัดส่วนมากขึ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด จากสัดส่วนเดิม 28.31% เป็น 69.61% ขณะเดียวกันโอนหุ้นทั้งหมดใน FPL ออกไป จากที่เคยถือไว้ในสัดส่วน 28.78%
ภาพใหม่ Thai Bev จะมีเครือข่ายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายกว่าเดิม มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมในภูมิภาคมากขึ้น ตามจินตนาการที่วาดไว้แต่แรก เมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว
ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง Thai Bev F&N และ FPL ที่ผ่านมา สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างธุรกิจใหญ่เครือทีซีซี และแนวทางธุรกิจซึ่งปรับเปลี่ยนไปมา และที่สำคัญสะท้อนการวางบทบาทและการจัดสรรธุรกิจภายในครอบครัวสิริวัฒนภักดี ด้วย โดยเฉพาะระหว่างบุตรชาย 2 คน – ฐาปน สิริวัฒนภักดี กับ ปณต สิริวัฒนภักดี
ปี 2546 ช่วงการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในธุรกิจครอบครัวสิริวัฒนภักดี ภายใต้เครือข่าย-กลุ่มทีซีซี Thai Bev ก่อตั้งขึ้น เป็นหนึ่งในกิจการและธุรกิจหลัก ได้ผนึกรวมกิจการเกี่ยวข้องกับธุรกิจเบียร์และสุราในไทย โดยให้ ฐาปน สิริวัฒนภักดี บุตรชายคนโต (ไม่ใช่คนแรก) เข้าดูแลและบริหารงาน
ต่อมาในปี 2549 Thai Bev ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการแผนการเข้าตลาดหุ้นไทย
นับเป็นแผนการเชิงบังคับ กลับเป็นโอกาสที่เปิดกว้าง ไม่นานจากนั้น กลุ่มทีซีซีเดินแผนการใหญ่บุกเบิกธุรกิจภูมิภาคครั้งใหญ่ครั้งแรกๆ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ F&N (ปี 2556) กิจการเก่าแก่เป็นตำนานแห่งสิงคโปร์ เป็นดีลครึกโครมตื่นเต้น ใครๆ มองออกว่า เป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญ ให้ Thai Bev ขยายพรมแดนธุรกิจให้กว้างขวาง ด้วยในเวลานั้นได้กว้านซื้อกิจการอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยไปหลายแห่ง
ความมุ่งมั่นซึ่งเห็นได้ชัด ในแผนการเข้าสู่ธุรกิจซึ่งไม่มีแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ F&N บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับกลุ่มทีซีซี มีธุรกิจสำคัญอย่างน้อย 2 ประเภทเหมือนกัน คือ เบียร์ และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ F&N มีธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นธุรกิจหลักสำคัญ แต่ทีซีซีและ Thai Bev ไม่มี
แต่ในเวลานั้น กลุ่มทีซีซีกลับตัดสินใจเลือกแค่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กับอสังหาริมทรัพย์ ขณะได้ปล่อยธุรกิจเบียร์หลุดมือไป
อ้างอิงข้อมูลจากรายงานล่าสุดที่เสนอต่อตลาดหุ้นสิงคโปร์ (หัวข้อ “Conditional Share Swap Agreement…” ความยาว 24 หน้า) มองเห็นโครงสร้างเครือทีซีซี อันซับซ้อน และดูยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร ด้วยปรากฏว่าก่อนมีดีลข้างต้น แม้ได้ผ่านมาราว 2 ทศวรรษ Thai Bev คงถือหุ้นข้างน้อย (28.31%) ใน F&N ขณะอีกบริษัทหนึ่งถือหุ้นใหญ่ที่สุด (58.90%)
นั่นคือ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด เรียกย่อๆ ว่า TCC Assets ก่อตั้งเมื่อปี 2556 จากข้อมูลรายงานต่อ SGX ว่าเป็นบริษัทลงทุน (Investment Holding Company) ในเครือทีซีซี ก่อตั้งที่ British Virgin Islands เป็นที่รู้กันว่า เป็นอีกช่วงอันกระชั้นในการปรับโครงสร้างธุรกิจในครอบครัวสิริวัฒนภักดี ให้มีอีกปีกหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นาม TCC Assets -กลุ่มธุรกิจใหม่ กับแผนการอันโลดโผน บริหารโดยบุตรชายคนสุดท้อง-ปณต สิริวัฒนภักดี
เท่าที่ทราบ เฉพาะในไทย เป็นเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านพระราม 4 ที่สำคัญเป็นพิเศษคือ โครงการ One Bangkok บนที่ดิน 104 ไร่หัวมุมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ ด้วยแผนการลงทุนถึง 1.2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ มีแผนการใหญ่อันซับซ้อนพอควร เข้าเกี่ยวข้องกับ Frasers Property Limited (FPL) โดยตรง FPL ก่อตั้งในสิงคโปร์กว่า 3 ทศวรรษ (ปี 2531) ในชื่อเดิม Frasers Centrepoint Limited (FCL) ค่อยๆ ขยายกิจการกลายเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ต้อมาเข้ามาอยู่ในเครือข่าย Fraser and Neave หรือ F&N (ปี 2533) หลังจากนั้นแผนการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศเป็นไปอย่างแข็งขัน
เมื่อกลุ่มทีซีซีซื้อกิจการ F&N ได้กลายเป็นเจ้าของ FPL ด้วย ตามแผนการใหม่ โดยเจ้าของใหม่ ให้ FPL พ้นฐานะในเครือ (subsidiary) ของ F&N ในปี 2556 จากนั้นได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ต่างหากในปีถัดมา
ต่อมาไม่นานนัก ปณต สิริวัฒนภักดี ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหาร FPL อย่างเต็มตัว (ปี 2559)
ช่วงกระชั้นจากนั้น Frasers Property (Thailand) หรือ FPT ได้ปรากฏขึ้น ในฐานะกิจการในเครือ FPL แห่งสิงคโปร์ เปิดฉากเข้าซื้อบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้นไทยแล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น FPT แผนการเป็นไปค่อนข้างเงียบ เมื่อต้นปี 2562 ตามยุทธศาสตร์เข้าตลาดหุ้นไทยทางลัด ที่เรียกว่า Backdoor listing ตามมาด้วยแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างคึกคัก ด้วยดีลซื้อกิจการและธุรกิจอย่างเดียวกัน ผนวกกันเป็นระลอก
ปัจจุบัน FPL ถือเป็นกิจการเกี่ยวข้องอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มีเครือข่ายสำนักงานให้เช่า ค้าปลีก โรงแรม ที่พักอาศัย สวนอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ ครอบคลุมในเอเชีย-แปซิฟิก และยุโรป มากกว่า 20 ประเทศ
ทั้งนี้ ที่สำคัญที่ผ่านมา ปรากฏโครงสร้างการถือหุ้นและบริหารกิจการสำคัญที่อ้างถึง เป็นไปค่อนข้างซับซ้อน โดย TCC Assets มีบทบาทค่อนข้างมาก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด ทั้ง F&N (58.90%) และ FPL (58.10%) ขณะที่ Thai Bev ถือหุ้นในสัดส่วนรองลงมา (28.31% และ 28.78%1 ตามลำดับ)
เมื่อดีลใหม่เป็นไปแล้ว TCC Assets จะมีโฟกัสธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรและครอบคลุมเชิงภูมิศาสตร์อย่างที่ควรเป็นเช่นเดียวกัน
กลุ่มทีซีซีกับแผนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งใหม่ เกี่ยวกับธุรกิจหลักสำคัญ ให้ “เข้าที่เข้าทาง” เป็นไปได้ว่ามาจากแรงบีบคั้นทางธุรกิจอย่างเข้มข้นทีเดียว •
วิรัตน์ แสงทองคำ | www.viratts.com
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022