อย่าให้ตัวเลข GDP พาเราหลงทาง

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

อย่าให้ตัวเลข GDP

พาเราหลงทาง

 

ความ “หมกมุ่น” อยู่กับตัวเลขอัตราเติบโตของ GDP อย่างเดียวของนักการเมืองนำมาซึ่งความทุกข์โศกของประชาชนไม่น้อย

เพราะตัวเลข “อัตราโตของผลผลิตมวลรวม” ไม่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำ, การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ, ความยากจน, ความล้มเหลวของการปฏิรูปการศึกษาและคอร์รัปชั่น

กรณีศึกษาของประเทศกรีซช่วง 2000 และ 2010 เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำปัญหานี้ได้อย่างดี

ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 รัฐบาลกรีซอวดอ้างตัวเลขเติบโตของ GDP ที่น่าประทับใจมาก

แต่ในรายงานทางการมีการซุกซ่อนความไร้วินัยทางการคลังและจุดอ่อนเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน

ตัวเลข GDP ที่สูงขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจหลอกให้ทั้งรัฐบาล, เอกชนและประชาชนตายใจ

ต่างก็ก่อหนี้กันอย่างสนุกสนาน ทั้งภาครัฐและเอกชน

นำไปสู่ตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลพุ่งพรวดพราด

แต่นักการเมืองไม่ชอบทำอะไรที่ยาก

เมื่อตัวเลข GDP สวยก็พอใจแล้ว ไม่ยอมปฏิรูปโครงสร้างด้านเศรษฐกิจที่ล้าหลังหลายด้าน

ไม่ช้าไม่นาน เมื่อเนื้อในของเศรษฐกิจไม่ได้แข็งแกร่งจริง ซ่อนอาการป่วยที่รัฐบาลปกปิดมายาวนาน

นำไปสู่การต้อง “เหยียบเบรก” อย่างแรง

พออาการป่วยที่แฝงอยู่ระเบิดออกมา ต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดอย่างกะทันหัน ตัวเลข GDP ก็ลดฮวบฮาบ

เศรษฐกิจกรีซร่วงลงเหว…และติดอยู่ในนรกอยู่นาน

อีกกรณีหนึ่งคืออาร์เจนตินาช่วงต้นปี 2010

รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีคริสตินา เฟอร์นันเดซ เด เคียร์ชเนอร์ บิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลข GDP อย่างสนุกสนาน

อีกทั้งยังตกแต่งตัวเลขอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำเกินจริงอย่างมาก

เมื่อประชาชนหลงเชื่อ “ข่าวดี” ของรัฐบาล ใช้เงินมือเติบ อัตราการออมหดหาย ไม่ช้าไม่นานสัญญาณอันตรายก็โผล่

ช่วงแรก รัฐบาลใช้นโยบายที่ไม่สมจริงสมจังเพื่อปกป้องตัวเลข GDP ที่สูงเกินจริง

เช่น เข้าไปแทรกแซงตลาดการเงินด้วยการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยด้วยเหตุทางการเมือง

ซ้ำเติมด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า

ผลที่ตามมาคือพอความลับแตก อัตราเงินเฟ้อจริงพุ่ง นักลงทุนตื่นตระหนก เงินไหลออกนอกประเทศ ชาวบ้านแตกตื่น

วิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงก็กระหน่ำใส่ทั้งประเทศอย่างฉับพลันและยาวนาน

 

หากเราจะวัด “สุขภาพ” ของประเทศอย่างแท้จริง ต้องพยายามสร้าง “ดัชนี” ตัวอื่นๆ เพื่อนำมาเทียบเคียงกับอัตราโตของ GDP

เพราะนอกเหนือจากตัวเลขผลผลิตมวลรวมแล้ว ยังมีตัวชี้วัดอื่นๆ ที่สะท้อนถึงสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเป็นส่วนรวม

ไม่เพียงแต่เป็น “ตัวเลขเฉลี่ยของผลผลิตมวลรวมของทั้งประเทศ” ที่สามารถสร้างความเข้าใจผิดได้อย่างมหันต์

เช่น ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index หรือ HDI)

ซึ่งเป็นดัชนีวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของประเทศในแง่มุมพื้นฐาน 3 ประการของการพัฒนามนุษย์ ได้แก่

สุขภาพ (ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพเพียงใด)

การศึกษา (จำนวนปีเฉลี่ยของการศึกษาและปีที่คาดหวังของการศึกษา)

และมาตรฐานการครองชีพ (รวมรายได้ประชาชาติต่อหัว)

ตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าของจริง (GPI)

Genuine Progress Indicator สะท้อนถึงการปรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมเชิงบวก (เช่น งานอาสาสมัครและงานบ้าน)

ลบด้วยผลกระทบเชิงลบ (เช่น อาชญากรรม มลพิษ และการสูญเสียทรัพยากร)

ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม (SPI) :

Social Progress Indicator คือดัชนีนี้วัดขอบเขตที่ประเทศต่างๆ จัดเตรียมไว้สำหรับความต้องการทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของพลเมืองของตน

ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ รากฐานของความเป็นอยู่ที่ดี และโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน

ความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH)

ดัชนี้นี้เกิดในประเทศภูฏาน Gross National Happiness วัดความสุขโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร ประกอบด้วย 9 หัวข้อ ได้แก่

ความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ

สุขภาพ การศึกษา การใช้เวลา

ความหลากหลายและการฟื้นฟูทางวัฒนธรรม

ธรรมาภิบาล

ความมีชีวิตชีวาของชุมชน

ความหลากหลายทางนิเวศวิทยา

และการฟื้นฟู และมาตรฐานการครองชีพ

 

และยังมี Better Life Index (BLI)

อันเป็นดัชนีที่สร้างขึ้นโดย OECD ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบความเป็นอยู่ที่ดีในประเทศต่างๆ โดยอิงจาก 11 หัวข้อที่ได้รับการระบุว่าจำเป็นในด้านสภาพความเป็นอยู่ทางวัตถุและคุณภาพชีวิต

เช่น ที่อยู่อาศัย รายได้ งาน ชุมชน การศึกษา สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล สุขภาพ ความพึงพอใจในชีวิต ความปลอดภัย และความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

ยังไม่นับดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม (EPI) อันหมายถึงการจัดอันดับประเทศต่างๆ ตามประสิทธิภาพในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่มีลำดับความสำคัญสูงในสองด้านกว้างๆ ได้แก่

การปกป้องสุขภาพของมนุษย์และการปกปักรักษาระบบนิเวศ

หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าดัชนี Happy Planet (HPI) ที่ใช้วัดความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนโดยพิจารณาจากอายุขัย ความเป็นอยู่ที่ดี และ “รอยเท้า” หรือ footprint ทางนิเวศน์

ที่ไม่ควรมองข้ามคือดัชนีความยากจนหลากหลายมิติ (MPI)

อันเป็นการวัดความยากจนที่อิงความขาดแคลนหลายประการที่ผู้คนเผชิญในเวลาเดียวกัน

เช่น สุขภาพไม่ดี ขาดการศึกษา และมาตรฐานการครองชีพที่ไม่เพียงพอ

หรือดัชนี “ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ” ที่รวมค่าสัมประสิทธิ์ Gini ซึ่งวัดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ภายในประชากร

และอัตราส่วน Palma ซึ่งเปรียบเทียบรายได้ที่ร่ำรวยที่สุด 10% ของส่วนแบ่งรายได้ของประชากรกับ 40% ที่ยากจนที่สุด

นอกนั้นยังมีดัชนีระดับสากลที่เรียกว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) : SDGs 17 ประการของสหประชาชาติ

ประกอบด้วยเป้าหมายที่เกี่ยวกับความยากจน ความหิวโหย สุขภาพ การศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ น้ำสะอาด พลังงานที่สามารถเข้าถึงได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจ

และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

ทั้งหมดนี้เท่ากับเป็นการยืนยันว่าการวัดด้วย GDP แต่เพียงตัวเองเป็นการให้ภาพที่บูดเบี้ยวและห่างไกลจากมาตรฐานอันควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง

ทำให้หวนคิดถึงหนังสือชื่อดังที่ผมอ่านตอนเริ่มสนใจปัญหาสังคมใหม่ๆ ที่โด่งดังในยุคสมัยนั้น

Small is Beautiful โดย E. F. Schumacher ที่วิพากษ์หลักเศรษฐกิจของตะวันตกอย่างตรงไปตรงมา

และเรียกร้องให้หันมาใช้หลักเศรษฐศาสตร์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น

หนังสือเล่มนี้ออกมาในปี 1973 และที่ทำให้ผู้คนในโลกสนใจเป็นพิเศษเพราะนำเสนอแนวคิด “เศรษฐศาสตร์พุทธศาสนา”

โดยเน้นความสำคัญของความยั่งยืน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการจัดลำดับความสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์มากกว่าความมั่งคั่งทางวัตถุ

ชูมัคเกอร์ให้เหตุผลว่าเศรษฐศาสตร์ร่วมสมัยให้ความสำคัญกับการเติบโตและการบริโภคมากเกินไป

โดยละเลยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ตอกย้ำว่าแนวทางนี้ไม่ยั่งยืนและนำไปสู่การทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เมื่อถูกทำลายแล้วก็ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้

เศรษฐศาสตร์แนวพุทธย้ำถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

เน้นการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การบริโภคให้น้อยที่สุด และความสำคัญของ “อาชีพงานการที่มีความหมายต่อคุณภาพชีวิต”

อีกทั้งยังสนับสนุน “เทคโนโลยีระดับกลาง” ซึ่งเป็นเครื่องมือและเทคนิคที่มีราคาไม่แพง มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ซึ่งเป็นคนละแนวทางกับเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ใช้เงินทุนจำนวนมากซึ่งมักจะให้ประโยชน์เฉพาะกับผู้มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น

ที่ตอกย้ำเป็นพิเศษคือการกระจายอำนาจขนาดเล็กจะมีประสิทธิภาพและมีมนุษยธรรมมากกว่าระบบแบบรวมศูนย์ขนาดใหญ่

เพราะวิสาหกิจขนาดเล็กมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นและสามารถจัดหาการจ้างงานที่มีความหมายได้มากกว่า

ท้ายที่สุดจุดประสงค์ที่แท้จริงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจควรเป็นเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของบุคคลและชุมชน

แทนที่จะเพียงเพิ่มความมั่งคั่งทางวัตถุเท่านั้น

หนังสือเล่มนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเคลื่อนไหวที่สนับสนุนความยั่งยืน เทคโนโลยีที่เหมาะสม และท้องถิ่นนิยม

ตรงกับแนวคิดที่ว่าตัวเลขเติบโต GDP แต่เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรมและยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำกับคอร์รัปชั่นได้เลย!