ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567 |
---|---|
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/
สิงหาคมสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สิงหาคมเป็นเดือนที่การเมืองไทยมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
และถึงแม้การเปลี่ยนแปลงควรจะหมายถึงวิวัฒนาการสู่บางอย่างที่ดีกว่าเดิม แต่การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอาจหมายถึงการถอยหลังลงคลองเหมือนวิวัฒนาการจากไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานได้ด้วยเช่นกัน
ต้นเดือนสิงหาคมจะมีคดียุบพรรคก้าวไกล และต่อให้ก้าวไกลจะประสบความสำเร็จในการเปิดโปงว่า กกต.ฟ้องยุบพรรคผิดขั้นตอนด้วยหลักฐานเท็จ รวมทั้งพยานสำคัญอย่าง อ.สุรพล นิติไกรพจน์ จะยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคโดยอ้างการกระทำของสมาชิกพรรคไม่กี่คนไม่ได้ จุดจบของคดีนี้ก็เป็นที่รู้กันอยู่ดี
แคนดิเดตนายกฯ พรรคใหญ่รายหนึ่งประเมินว่าก้าวไกลมีโอกาสรอด 25% ซึ่งแปลว่ามีโอกาสไม่รอด 75% นั่นเท่ากับวงจรอุบาทว์ของการยุบพรรคใหญ่ที่สุดในประเทศจะเดินหน้าเหมือนยุบไทยรักไทยและพลังประชาชนราว 20 ปีที่แล้ว
ซ้ำเป็นการยุบพรรคฝ่ายค้านซึ่งเป็นพรรคชนะอันดับ 1 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
การยุบก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ควรเป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าไม่มีก้าวไกลและพิธา เพื่อไทยก็คงไม่แพ้เลือกตั้งย่อยยับ การตั้งรัฐบาลตระบัดสัตย์คงไม่เกิด และชะตากรรมเพื่อไทยคงไม่ลุ่มๆ ดอนๆ แบบทุกวันนี้ แต่เดือนสิงหาคมก็เป็นเดือนที่อนาคตของคุณเศรษฐา ทวีสิน ไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน
สื่ออาวุโสอย่างคุณวีระ ธีรภัทร บอกว่า คุณเศรษฐามีโอกาสแพ้คดีตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี 70% และอาการของคุณเศรษฐาในช่วงนี้ก็ไม่ดีด้วย โดยเฉพาะการที่คุณเศรษฐาจู่ๆ ก็ยกเลิกแถลงมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ในวันที่ 24 สิงหาคม โดยโยนไปให้รัฐมนตรีคลังแถลงแทนอีก จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
คุณเศรษฐารับตำแหน่งนายกฯ วันที่ 22 สิงหาคม 2566 แต่หนึ่งปีผ่านไปโดยไม่มีใครจำวันนี้ได้ คุณเศรษฐามีคดีตั้งคุณพิชิต อาจมีคดีจากนโยบายเงินดิจิทัลอีก ส่วนบารมีของคุณเศรษฐาในฐานะนายกฯ ก็หดหายจากบทบาทคุณทักษิณ ชินวัตร ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้มีคนเชื่อมากขึ้นทุกวันว่าคุณเศรษฐาไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง
ยิ่งคุณทักษิณปรากฏตัวที่เขาใหญ่กับคุณแพทองธาร ชินวัตร, คุณสุวัจน์ ลิปพัลลภ, คุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ฯลฯ แล้วเดินทางไปพบคุณอนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมกับนักธุรกิจใหญ่ที่สุดในประเทศด้านสื่อสารและพลังงาน ภาพความยิ่งใหญ่ของคุณทักษิณท่ามกลางเครือข่ายนักธุรกิจและนักการเมืองกลุ่มผูกขาดประเทศยิ่งทำให้คุณเศรษฐาไร้ความหมายไปเลย
ไม่มีทางที่คนแบบคุณทักษิณจะไม่รู้ว่าบทบาทตัวเองแบบนี้ทำให้คุณเศรษฐา “หมอง” อย่างไร
และไม่มีทางที่คนแบบคุณเศรษฐาจะไม่รู้ว่าคุณทักษิณทำให้คุณเศรษฐา “หมอง” อย่างต่อเนื่อง
คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมคุณทักษิณจึงทำแบบนี้ไม่หยุด และทำไมคุณเศรษฐาจึงยอมให้ตัวเองอยู่ในสภาพนายกฯ หุ่นตลอดเวลา
ไม่ว่าคุณทักษิณ, คุณเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทุกคนทำให้คนไทยตาสว่างว่าทำเนียบรัฐบาลเป็นแค่ศูนย์กลางอำนาจในแง่กฎหมาย, อำนาจการเมืองที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบ และคนที่อยู่นอกทำเนียบต่างหากที่เป็นคนกำหนดอนาคตรัฐบาลและอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งการแถลงนโยบายแจกเงินที่คุณเศรษฐาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง คุณเศรษฐาก็ยังหลบให้สามรัฐมนตรีเป็นฝ่ายแถลงเรื่องนี้แทนทั้งหมด บารมีคุณเศรษฐาทางการเมืองที่ลดน้อยอยู่แล้วจึงยิ่งลดน้อยลงไปอีกแบบที่ไม่ควรเป็นเลย
ไม่เพียงแต่พรรคเพื่อไทยที่มีสภาพที่กล่าวไป พรรคการเมืองใหญ่ร่วมรัฐบาลล้วนมีสภาพแบบนี้ทั้งหมด พลังประชารัฐมีหัวหน้าพรรคซึ่งไม่ได้อยู่ในคณะรัฐมนตรี
ส่วนคุณธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในนามพรรคก็ตัวติดกับเพื่อไทย ประกาศว่าตัวเองยึดพรรคได้แล้ว และไม่รู้ว่าพรรคเป็นเพื่อไทยสาขาสองแล้วหรือยัง
ความไม่ชัดเจนเรื่องใครใหญ่ที่สุดในพลังประชารัฐทำให้การเมืองในพรรควุ่นวาย คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดพรรครับคุณวัน อยู่บำรุง และพร้อมรับคุณเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งแตกหักกับคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทย ขณะคุณธรรมนัสประกบคุณทักษิณทุกครั้งที่มีโอกาส และในที่สุดสภาพแบบนี้ต้องจบแบบต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายไป
ถึงคุณเฉลิมจะอยู่ในช่วงโรยราทางการเมือง แต่คุณเฉลิมเป็นรัฐมนตรีช่วงที่คุณทักษิณเริ่มต้นทำธุรกิจซึ่งต้องได้สัมปทานจากรัฐบาล คุณเฉลิมจึงเป็นนักการเมืองที่รู้เรื่องคุณทักษิณและวิธีที่คุณทักษิณทำมาหากินก่อนเป็นนักการเมืองที่สุด
หรือกล่าวอีกนัยคือคุณเฉลิมเป็น “อาวุธลับ” ที่จะปิดฉากคุณทักษิณได้อย่างดี
คุณประวิตรจับมือกับคุณวันและคุณเฉลิมคือสัญลักษณ์ของการเปิดศึกกับคุณทักษิณ และโดยนิสัยของคุณทักษิณนั้นไม่ยอมให้ใครทำแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ใหญ่จนคุณทักษิณกลัว คุณทักษิณกับคุณธรรมนัสจึงต้องจับมือกันยึดพรรคพลังประชารัฐแน่ ส่วนคุณประวิตรก็ต้องปกป้องตัวเองด้วยทุกเครื่องมือด้วยเช่นกัน
ต่อให้บารมีคุณประวิตรจะไม่มากเท่าเดิมในทางการเมือง แต่คดีที่เป็นชนักปักหลังนักการเมืองหลายคนในองค์กรอิสระยังไม่จบ และโอกาสที่คดีเหล่านี้จะปุบปับโผล่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ความต้องการให้คุณธรรมนัสยึดพรรคจากคุณประวิตรจึงไม่ง่าย และคุณประวิตรเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ถึงคุณประวิตรจะอ่อนแอจนคุมพรรคตัวเองไม่ได้ แต่เครือข่ายคุณประวิตรในองค์กรอิสระที่ทำให้พลังประชารัฐเป็นแกนนำรัฐบาลและคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงอยู่เหมือนเดิมทั้งหมด
และคดีคุณเศรษฐาที่จะตัดสินในวันที่ 24 สิงหาคมจะเป็นนิติสงครามที่เปรียบได้กับสงครามครั้งสุดท้ายของฝ่ายคุณประวิตรอย่างแน่นอน
ถ้าคุณประวิตรเป็นฝ่ายชนะและคุณเศรษฐาแพ้คดี การเมืองไทยจะเข้าสู่ฉากที่คุณแพทองธารเป็นนายกฯ ในเวลาที่ฝ่ายคุณทักษิณไม่พร้อมที่สุด ข่าวเรื่อง “คุณหญิง” ไม่อยากให้ “คุณอิ๊ง” เป็นนายกฯ นั้นเป็นความลับที่รู้กันทั่วมานานแล้ว และการเป็นนายกฯ ในเวลาที่ไม่พร้อมนั้นไม่ต่างกับการขึ้นแท่นประหารทางการเมือง
ไม่มีใครรู้ว่าคุณประวิตรมีโอกาสแพ้ในสนามนี้หรือไม่ แต่เดิมพันของสงครามนี้คือการสูญเสียอำนาจทุกอย่างจนคุณประวิตรไม่มีทางยอมแพ้แบบง่ายๆ และคุณทักษิณเองก็ไม่อยู่ในฐานะจะยอมให้คุณประวิตรเป็นฝ่ายชนะด้วย ความขัดแย้งนี้จึงไม่มีจุดจบที่จะประนีประนอมกันได้เลย
แม้คุณทักษิณจะจงใจแสดงบารมีโดยไปพบคุณอนุทินพร้อมนักการเมืองรุ่นใหญ่และนักธุรกิจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ต้องไม่ลืมว่าคุณทักษิณซึ่งเป็นอดีตนายกฯ เป็นฝ่ายไปหาคุณอนุทินซึ่งเป็นรองนายกฯ ขณะที่คุณเศรษฐาซึ่งเป็นนายกฯ ต้องเป็นฝ่ายไปหาคุณทักษิณถึงบ้านช่วงสงกรานต์
ต่อให้ปรากฏการณ์ “ปฏิญญาเขาใหญ่” จะถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลการเมืองที่คุณทักษิณเป็นศูนย์กลาง แต่ความจริงคือบารมีคุณทักษิณในจักรวาลอ่อนแอจากจำนวน ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่หดหาย และจำนวน ส.ว.สายพรรคภูมิใจไทยที่มีมากถึง 160 คน จนภูมิใจไทยมีสมาชิกรัฐสภาในเครือข่ายถึง 240 คน
เมื่อเทียบกับคุณทักษิณในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่จนคุณเนวิน ชิดชอบ และคุณอนุทินเป็น “ลูกน้อง” ในยุคไทยรักไทย ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทักษิณกับคุณอนุทินและคุณเนวินตอนนี้ไม่ใช่แบบ “นาย” กับ “ลูกน้อง” ต่อไปอีก โดยเฉพาะเมื่อภูมิใจไทยมีอิทธิพลเหนือ ส.ว.ซึ่งหมายถึงโอกาสมีอิทธิพลเหนือองค์กรอิสระระยะยาว
อีกไม่ช้าองค์กรอิสระใต้บารมีคุณประวิตรก็จะครบวาระไป ส่วน ส.ว.สีน้ำเงินก็จะเกี่ยวพันกับการเลือก กกต., ป.ป.ช, ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ ทั้งหมด ผู้มีบารมีเหนือ ส.ว.สีน้ำเงินคือตัวละครใหม่ที่จะมีอำนาจเหนือนักการเมืองและพรรคการเมืองผ่านการคุมคดีต่างๆ แทนที่คุณประวิตรในปัจจุบัน
เห็นได้ชัดว่าการเมืองเดือนสิงหาคมจะเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง แต่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้คือการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ของนักการเมืองรุ่นเก่าที่มองการเมืองเป็นแค่โอกาสเข้าสู่อำนาจทั้งหมด
นักการเมืองทุกคนที่อยู่ในวงจรนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของการเมืองที่ไม่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเลย
ต้นสิงหาคมจะเป็นช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบก้าวไกล และไม่ว่าผลของคดีจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพรรคแบบพรรคก้าวไกลให้มากขึ้นไปอีก นั่นคือมีพรรคที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ไม่ใช่พรรคที่เอาประชาชนเป็นฐานเสียงเพื่อแย่งอำนาจ แต่ไม่เคยเป็นฐานของนโยบาย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022